บทเรียน "จ่ามี" จากฟิลิปปินส์ ไทยต้องรับมืออย่างไร?
สถานการณ์ล่าสุดของพายุ
พายุโซนร้อน "จ่ามี" ที่มีต้นกำเนิดจากมหาสมุทรแปซิฟิก ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง หลังเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งเวียดนามตอนกลางในช่วงเช้าวันที่ 28 ตุลาคม 2567 กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศฉบับสุดท้ายเกี่ยวกับพายุนี้ แม้พายุจะไม่พาดผ่านประเทศไทยโดยตรง แต่ยังส่งผลกระทบทางอ้อม ทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและดินถล่มในภาคตะวันออกและภาคอีสาน
ผลกระทบและแนวโน้มสถานการณ์ต่อประเทศไทย
แม้พายุจ่ามีจะไม่เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพายุกับมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนที่แผ่ลงมาปกคลุมด้านหน้า ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและลมแรงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดสกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ ยโสธร อุบลราชธานี และศรีสะเกษ
อย่างไรก็ตาม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปช.) ยืนยันว่าสถานการณ์น้ำในภาคอีสานยังอยู่ในการควบคุม โดยระดับน้ำในสถานีวัดต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ลดลงและทรงตัว มีเพียงสถานีโขงเจียมที่มีระดับน้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เซนติเมตร
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ในระยะต่อไป มีการคาดการณ์ว่าพายุจ่ามีอาจเคลื่อนตัววกกลับไปในทะเลจีนใต้ เนื่องจากแรงดึงดูดของพายุ "กองเร็ย" ที่กำลังเคลื่อนตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบกับอิทธิพลของมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมา ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคมเป็นต้นไป ขณะที่ภาคใต้ยังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักโดยเฉพาะฝั่งอันดามัน ทำให้กรมทรัพยากรธรณีต้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากใน 6 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
นอกจากนี้ ผลกระทบของพายุยังส่งผลดีต่อการเก็บกักน้ำในระบบชลประทานภาคอีสาน โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำมูลที่ยังมีปริมาณน้ำกักเก็บสำหรับหน้าแล้งปีหน้าไม่มากนัก ขณะที่สถานการณ์น้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยกรมชลประทานยังคงควบคุมการระบายน้ำในอัตราเดิมที่ 1,699 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและดินถล่ม
กรมทรัพยากรธรณีได้ประกาศเตือนพื้นที่เสี่ยงดินถล่มในช่วงวันที่ 28-30 ตุลาคม โดยเฉพาะบริเวณที่มีภูมิประเทศลาดชันหรือใกล้แหล่งน้ำในภาคอีสาน ภาคตะวันออก และบางพื้นที่ในภาคใต้ ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงควรเตรียมพร้อมรับมือกับน้ำท่วมฉับพลัน พร้อมเฝ้าระวังสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์ทางทะเล
ขณะที่ทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และในบริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นอาจสูงเกิน 2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาแนะนำให้ชาวเรือใช้ความระมัดระวังในการเดินเรือ รวมถึงหลีกเลี่ยงการออกเรือหากมีพายุฝนฟ้าคะนอง
บทเรียนจากฟิลิปปินส์
พายุจ่ามีได้สร้างความเสียหายอย่างหนักในฟิลิปปินส์ โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 81 ราย พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือจังหวัดบาทังกาสทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งพบผู้เสียชีวิต 47 ราย รองลงมาคือภูมิภาคบีโคลที่มีผู้เสียชีวิต 28 ราย และพื้นที่อื่นๆ อีก 6 ราย สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของฟิลิปปินส์รายงานว่า พายุลูกนี้ทำให้เกิดฝนตกหนักผิดปกติ โดยบางพื้นที่มีปริมาณน้ำฝนเทียบเท่ากับ 1-2 เดือนภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ทางภาคกลางและภาคใต้ของประเทศ มีประชาชนได้รับผลกระทบมากกว่า 2.6 ล้านคน และต้องอพยพผู้คนเกือบ 320,000 คนไปยังศูนย์อพยพหรือบ้านญาติ
นอกจากความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินแล้ว พายุจ่ามียังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบคมนาคมและเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ มีผู้โดยสารกว่า 7,500 คนต้องติดค้างอยู่ที่ท่าเรือ เที่ยวบินถูกยกเลิกถึง 36 เที่ยวบิน ส่งผลให้การขนส่งสินค้าและการเดินทางหยุดชะงัก กระทบต่อการค้าและการท่องเที่ยวอย่างหนัก ทางการฟิลิปปินส์ยังได้เตือนถึงความเป็นไปได้ที่พายุอาจเปลี่ยนทิศทางและวกกลับมาอีกในสัปดาห์ถัดไป หลังจากเจอความกดอากาศสูงที่กำลังก่อตัวในทะเลจีนใต้ ทำให้ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศในภูมิภาคในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
----------------
ศปช. ได้สั่งการให้หน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่เสี่ยงประสานงานกันอย่างใกล้ชิดในการเฝ้าระวังสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือประชาชน หากเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันหรือดินถล่ม การเตรียมทีมช่วยเหลือและอุปกรณ์ฉุกเฉินถือเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกัน กรมอุตุนิยมวิทยาได้แจ้งเตือนให้ประชาชนติดตามประกาศและข้อมูลสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าพายุจ่ามีจะอ่อนกำลังลงแล้ว แต่ประชาชนในภาคตะวันออกและภาคอีสานยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักที่อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มในช่วงวันที่ 28-29 ตุลาคม ทางการยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่
บทเรียนจากฟิลิปปินส์แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมและการตอบสนองอย่างทันท่วงทีในการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ ประเทศไทยเองก็ต้องเตรียมพร้อมไม่เพียงแต่ในระยะสั้น แต่ยังต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งในเชิงโครงสร้างและระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อลดความเสี่ยงและความสูญเสียในระยะยาว
ภาพ Freepik