รายจ่ายท่วม ! รัฐเล็งขึ้น VAT 10% อุดความเสี่ยงการคลัง

รัฐจ่อปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกหลายฝ่ายจับตามอง หลังประเทศไทยเผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้สถานการณ์ภาคการคลังของไทยส่งสัญญาณเตือนในหลายด้าน โดยเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทย พบว่า มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จาก 17% ในปี 36 เหลือ 14.9% ในปี 68
แต่การใช้จ่ายของรัฐบาลกลับสูงขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะ ในช่วงที่เศรษฐกิจชะงักงัน ต้นทุนการกู้ยืม และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากสัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
ขณะที่รายจ่ายประจำมีสัดส่วนมากถึง 70 – 80% ของรายจ่ายรัฐบาลทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้รัฐบาลมีวงเงินงบประมาณคงเหลือสำหรับรายจ่ายลงทุน ซึ่งเป็นรายจ่ายสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจลดลง
นอกจากนี้รัฐใช้เครื่องมือทางการคลังในการอัดฉีดเม็ดเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้รัฐใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง โควิด-19 โดยเพิ่มการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐา การให้เงินอุดหนุน หรือมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดการว่างงาน
รวมถึงนโยบายประชานิยม ทำให้รายจ่ายของรัฐบาลพุ่ง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นและเข้าใกล้กรอบเพดาน หนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ที่ 70% ของจีดีพี โด ในปีงบประมาณ 68 หนี้สาธารณะแตะ 12.22 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 64.82% ของจีดีพี แบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 10.96 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 1.06 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) 155,789.71 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 40,337.89 ล้านบาท
ทั้งนี้พบว่าหนี้ดังกล่าวแบ่งเป็นหนี้ในประเทศ จำนวน 12.12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 99.19% ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้ต่างประเทศ จำนวน 99,569.20 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.81% ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด
ขณะที่รายการภาระผูกพันตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 62 มีภาระหนี้ผูกพันตามมาตรา 28 อยู่ที่ 865,018 ล้านบาท หรือ 28.83% ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ และล่าสุดในปี 2568 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,133,751 ล้านบาท หรือ 30.21% ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ ความเปราะบางทางการคลังต่าง ๆ เหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ
โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ระดับโลกได้แสดงความกังวลต่อความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ที่สะท้อน ผ่านการปรับแนวโน้มมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะต่อไป
ดังนั้นภาครัฐวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการคลังในระยะยาว ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างภาษีกลุ่ม Sin Tax หรือภาษีสินค้าบาป เช่น ภาษีสุรา ภาษียาสูบ ภาษีการพนัน ตลอดจนการเก็บอากรขาเข้าจากสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท รวมถึงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแบบขั้นบันไดจาก 7% เป็น 8.5% ในปี 71 และเพิ่มเป็น 10% ในปี 73 หวังเพิ่มรายได้มากขึ้น
ทันที่มีข่าวแพร่สะพัด รัฐบาลเตรียมเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ร้อนถึง “อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย” ประกาศว่า ตราบใดที่ตนบริหารประเทศ จะตรึงอัตรา VAT ไว้ที่ 7% เช่นเดิม
แม้ว่าตามกฎหมายไทยจะต้องเก็บ VAT ที่อัตรา 10% แต่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเก็บ VAT อยู่ในอัตรา 7% นั้น เพราะมีการใช้ข้อยกเว้นมาโดยตลอด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งตัวเลขที่ออกมาล่าสุดก็เป็นแผนระยะยาว ต้องมีการนำเสนอ โดยอิงกฎหมายไว้ก่อน แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เก็บในปีนี้หรือปีหน้าไม่ต้องกังวล โดยประเทศไทยอยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นฟู กำลังปรับสภาพประเทศให้มีศักยภาพในการดำรงอยู่ในเวทีโลก
ด้าน “ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง” ออกมายอมรับว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ใน แผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Fiscal Framework: MTFF) ปี 69-73 ที่ผ่านการอนุมัติจาก ครม.เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยจะทยอยขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในช่วงนั้นน่าจะฟื้นตัวและเติบโตเต็มศักยภาพ
โดยยืนยันว่าในปี 68-70 จะยังไม่มีแผนการปรับขึ้นภาษี VAT เพราะ สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังไม่พร้อมที่จะขึ้นภาษี ซึ่งทำให้ประชาชนหายใจโล่งในระดับหนึ่งว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่เป้าหมายที่สำคัญคือรัฐบาลต้องการลดขนาดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3% ของจีดีพีใน ปี 72 เพื่อ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน และแก้ปัญหาการปรับ Outlook และ Downgrade ประเทศไทย และสร้างความมั่นใจว่า สถานะการคลังของประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
หากดูตัวเลขการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ ปีงบประมาณ 68 (ระหว่างต.ค.67-ก.ย. 68) สามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 2,822,709 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 64,291 ล้านบาท หรือ 2.2% แต่สูงกว่าปีก่อน 0.9% โดยการจัดเก็บรายได้เกี่ยวข้องส่วนราชการอื่น และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้สวนทางกับ 3 กรมภาษีการเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการทั้งหมด
กรมสรรพสามิต : จัดเก็บรายได้สุทธิอยู่ที่ 537,540 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 11.8% หรือ 72,160 ล้านบาท เพราะภาษีรถยนต์ เนื่องจากมีมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
กรมศุลกากร : จัดเก็บรายได้สุทธิอยู่ที่ 119,144 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2.5% หรือ 3,056 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าที่ประมาณการไว้ ตลอดจนการเปิดเสรีทางการค้าและการนำเข้ารถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาปที่ลดลงส่งผลให้อากรขาเข้าขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
กรมสรรพากร : จัดเก็บรายได้สุทธิอยู่ที่ 2,335,300 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1.6% หรือ 37,200 ล้านบาท เนื่องจากภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าต่ำกว่าเป้า
ส่วนฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในปี งบประมาณ 68 (ต.ค.67-ก.ย.68) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 2,821,730 ล้านบาท ขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,723,068 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 922,700 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนก.ย.68 มีทั้งสิ้น 580,311 ล้านบาท
ทั้งนี้หากดูสัดส่วนรายได้จากภาษีของไทยจะพบว่ารายได้หลักของรัฐบาลที่มีสัดส่วนมากที่สุด 5 อันดับแรก ตั้งแต่ปีงบประมาณ 35 จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งมีสัดส่วนเฉลี่ย 25% ของรายได้ทั้งหมดต่อปี ภาษีเงินได้นิติบุคคล 20.8% ต่อปี ภาษีสรรพสามิต 18.6% ต่อปี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 11.3% ต่อปี และภาษีศุลกากร 7.5% ต่อปี ขณะที่รายได้จากแหล่งอื่น ๆ รวมกันคิดเป็น 16.7% ของรายได้ทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าภาษีมูลค่าเพิ่มถือเป็นรายได้ที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล โดยมีสัดส่วนสูงสุดต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มได้ถึง 992,829 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
หากย้อนอดีตการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เกิดขึ้นเมื่อปี 35 สมัยที่ "อานันท์ ปันยารชุน” เป็นนายกรัฐมนตรีได้เริ่มนำระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะมาใช้ในการจัดเก็บแทนภาษีการค้า ที่มีปัญหาการจัดเก็บที่ซ้ำซ้อนไม่เป็นธรรม และไม่สนับสนุน ต่อภาคการส่งออกของประเทศ ขณะเดียวกันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมการให้หักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การปรับปรุงอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับปรุงแก้ไขประมวลรัษฎากรนั้นมีทั้งการยกเลิกภาษีที่ไม่เหมาะสม การเพิ่มภาษีประเภทใหม่ขึ้น และการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความเดิมให้ทันสมัยและรัดกุมยิ่งขึ้น โดยมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้ามีอัตราจัดเก็บที่ 10% แต่ประกาศใช้จริงที่ 7%
ต่อมาในรัฐบาลของ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ได้ประกาศขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% เป็นการชั่วคราว ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 เพราะเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อให้ไทยเพิ่มรายได้ และควบคุมการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งเป็นมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่กำหนดให้ไทยต้องเดินตามแผนไอเอ็มเอฟทำให้ไทยต้องขึ้นแวต 10% ในวันที่ 16 ส.ค. 40 – 31 มี.ค.42 เป็นเวลา 1 ปี 7 เดือน
จากนั้นในสมัย “ชวน หลีกภัย” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ปรับลดแวตจาก 10% เหลือ 7% วันที่ 31 มี.ค. 42 เพราะต้องการลดภาระประชาชนและเพิ่มการจับจ่ายในประเทศ
หลังจากนั้นถัดมาไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล”ทักษิณ ชินวัตร” “สมัคร สุนทรเวช” “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” “ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีรัฐบาลไหนกล้าเสี่ยงขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ได้ต่ออายุการเก็บแวต 7% มาต่อเนื่องยาวนานกว่า 26 ปี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ครม. อนุมัติต่ออายุภาษีมูลค่าเพิ่ม เหลือ 7% จากที่สิ้นสุด 30 ก.ย.68 ไปเป็น 30 ก.ย 69 เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร
การส่งสัญญาณขึ้นภาษีมูลค่าเปรียบเสมือนดาบสองคม คือทำให้รัฐมีรายได้เข้าคลังมากขึ้น โดยทุก 1% ปั๊มรายได้ให้รัฐกว่า 70,000-80,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ แต่ในทางตรงกันข้ามส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการที่ถีบตัวสูงขึ้นทำให้ประชาชนควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่า จะเกิดผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน!!
ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐต้องสังคายนาว่า โครงสร้างภาษีในปัจจุบันมีตรงไหนเป็นจุดบอดบ้างและจะทำอย่างไรที่จะดึงกลุ่มคนนอกระบบภาษีเข้ามาในระบบอย่างถูกต้อง เพราะเศรษฐกิจไทยยังลุ่มดอน ๆ ถ้าผลีผลามขึ้นโดยไม่ทันดูสถานการณ์ความเป็นจริงอาจเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลึกและทำให้รัฐบาลเสียคะแนนนิยมก็เป็นได้.....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
