รีเซต

ประวัติพรรคชาติไทยพัฒนา จากชาติไทยสู่ยุควราวุธ

ประวัติพรรคชาติไทยพัฒนา จากชาติไทยสู่ยุควราวุธ
TNN ช่อง16
22 พฤศจิกายน 2568 ( 11:14 )
13

รากการเมืองจากซอยราชครูสู่การตั้งพรรคชาติไทย

เส้นทางของพรรคชาติไทยพัฒนาเริ่มต้นจากพรรคชาติไทยที่จดทะเบียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2517 ในช่วงที่ไทยเพิ่งมีรัฐธรรมนูญ 2517 และกำลังเตรียมเลือกตั้งทั่วไป ผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับ “กลุ่มซอยราชครู” ที่มีจอมพล ผิน ชุณหะวัณ เป็นศูนย์กลางอำนาจทางทหาร–การเมืองมานับตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2490 บุคคลสำคัญอย่าง พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร พลตรี ศิริ สิริโยธิน และพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ จึงนำทุนอำนาจเดิมมาวางโครงสร้างพรรคชาติไทยให้กลายเป็นตัวแสดงหลักในสนามเลือกตั้งยุคใหม่

ยุคชาติชาย ชุณหะวัณ และแนวคิดเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า

เมื่อพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทย และนำพรรคชนะเลือกตั้งปี 2531 ได้จัดตั้งรัฐบาลผสมพร้อมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 นโยบายเด่นที่ยังถูกพูดถึงจนวันนี้คือแนวคิด “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ที่หันไปสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับเพื่อนบ้านในอินโดจีน ทั้งลาว กัมพูชา และเวียดนาม จนได้รับฉายา “มิสเตอร์อินโดจีน” อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชาติชายต้องจบลงด้วยรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 หลังเผชิญแรงกดดันทั้งข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชันและความขัดแย้งกับกองทัพ

บรรหาร ศิลปอาชา เสาหลักชาติไทยและตำนานบ้านใหญ่สุพรรณ

หลังยุคชาติชาย พรรคชาติไทยเดินหน้าต่อภายใต้การนำของ “บรรหาร ศิลปอาชา” นักการเมืองจากจังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคในปี 2537 และสามารถพาพรรคเข้าสู่อำนาจสูงสุด เมื่อได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 หลังการเลือกตั้งปี 2538 รัฐบาลบรรหารมีบทบาทสำคัญต่อการเริ่มต้นร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และเป็นจุดเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองไทยยุคใหม่ ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคจำนวนมากในจังหวัดสุพรรณบุรีก็ทำให้ “บ้านใหญ่สุพรรณ” กลายเป็นชื่อที่ผูกติดกับพรรคชาติไทยอย่างแนบแน่น บรรหารถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีศิลปะในการประสานผลประโยชน์ รักษาสมดุลพรรคร่วม และวางรากฐานเครือข่ายทางการเมืองแข็งแรงให้ตระกูลศิลปอาชา

จุดหักเหสำคัญ การยุบพรรคชาติไทยปี 2551

วันที่ 2 ธันวาคม 2551 คือหมุดหมายสำคัญ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทยพร้อมพรรคพลังประชาชนและพรรคมัชฌิมาธิปไตย จากคดีทุจริตเลือกตั้ง ผลของคำพิพากษาทำให้กรรมการบริหารพรรคชาติไทย 109 คน รวมถึงบรรหาร ศิลปอาชา และกัญจนา ศิลปอาชา ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี พรรคชาติไทยในฐานะนิติบุคคลต้องปิดฉากลง แต่โครงสร้างแกนนำ ทีมงาน และฐานเสียงโดยเฉพาะที่สุพรรณบุรีไม่ได้หายไปไหน ทุนทางการเมืองเหล่านี้จึงถูก “ยกชุด” ไปสู่พรรคใหม่ในเวลาไม่นาน

ฟื้นตัวในชื่อ “ชาติไทยพัฒนา” สานต่อทุนทางการเมืองเดิม

หลังการยุบพรรคไม่นาน กลุ่มอดีตสมาชิกชาติไทยได้จดทะเบียนก่อตั้งพรรคใหม่ในชื่อ “พรรคชาติไทยพัฒนา” เพื่อสานต่อมรดกของพรรคเก่า การที่อดีตกรรมการบริหารถูกตัดสิทธิ ทำให้ต้องใช้นักการเมืองคนอื่น เช่น นายธีระ วงศ์สมุทร ขึ้นมานำพรรคในช่วงแรก ชื่อ โลโก้ และบุคลากรสำคัญจำนวนมากของชาติไทยพัฒนาส่งสัญญาณชัดเจนว่าเป็นการรีสตาร์ตจากฐานเดิม จึงมีผู้เรียกพรรคนี้ว่า “ชาติไทยเวอร์ชันใหม่” ที่ยังพึ่งพาเครือข่ายบ้านใหญ่สุพรรณบุรีเป็นหัวใจสำคัญ

ยุคชุมพล ศิลปอาชา ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลผสมหลายขั้ว

เมื่อชุมพล ศิลปอาชา น้องชายของบรรหาร ขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา บทบาทของพรรคในรัฐบาลผสมยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น เขาเข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และต่อมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรมว.การท่องเที่ยวและกีฬาในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การเข้าไปร่วมรัฐบาลของชาติไทยพัฒนากับทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยสะท้อนสไตล์ของพรรคที่วางตัวอยู่ในจุดกลางทางการเมือง สามารถต่อรองแลกเปลี่ยนกับหลายขั้วเพื่อรักษาบทบาทในฝ่ายบริหาร ความต่อเนื่องนี้หยุดลงเมื่อชุมพลเสียชีวิตในปี 2556 ทำให้พรรคต้องมองหาผู้นำรุ่นต่อไปมาขับเคลื่อนแทน

กัญจนา ศิลปอาชา กับภารกิจรักษาพรรคหลังหมดโทษตัดสิทธิ

เมื่อโทษตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคชาติไทยเดิมสิ้นสุด กัญจนา ศิลปอาชา บุตรีคนโตของบรรหารกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาอย่างเป็นทางการ บทบาทสำคัญของเธอคือการพยุงพรรคให้ยืนอยู่ได้ในยุคที่โครงสร้างการเมืองไทยเปลี่ยนจากระบบสองขั้วไปสู่การมีพรรคใหม่และพรรคขนาดกลางจำนวนมาก กัญจนาผลักดันให้มีการดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาท เช่น เสมอกัน เที่ยงธรรม ภราดร–กรวีร์ ปริศนานันทกุล และวราวุธ ศิลปอาชา เพื่อให้พรรคไม่หยุดอยู่กับภาพลักษณ์เดิม

วราวุธ ศิลปอาชา และความพยายามรีแบรนด์สู่ “พรรคคนรุ่นใหม่สายกลาง–สีเขียว”

ปี 2565 วราวุธ ศิลปอาชา ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาอย่างเป็นทางการ ถือเป็นการปรับเปลี่ยนผู้นำจากรุ่นบิดามาสู่รุ่นลูกอย่างชัดเจน เขาใช้ประสบการณ์จากการทำงานในฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรัฐบาลก่อนหน้า มาขยายภาพจำใหม่ของพรรคให้เชื่อมโยงกับประเด็นสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความยั่งยืน เมื่อเข้าสู่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน วราวุธรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่อ ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเชื่อมโยงมากขึ้นกับงานด้านสวัสดิการ–สังคมควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อม

นโยบาย WOW THAILAND และอัตลักษณ์ใหม่ของชาติไทยพัฒนา

หนึ่งในเครื่องมือรีแบรนด์สำคัญคือแพ็กเกจนโยบาย “WOW THAILAND – Wealth Opportunity and Welfare for All” ที่เปิดตัวในช่วงเลือกตั้งปี 2566 เนื้อหาของนโยบายชุดนี้เน้นการสร้างความมั่งคั่ง โอกาส และสวัสดิการแบบยั่งยืน โดยใช้ประเด็น “สิ่งแวดล้อม–เกษตรสมัยใหม่–สวัสดิการสังคม” เป็นแกนหลัก มากกว่ามาตรการแจกเงินสั้น ๆ เช่น การส่งเสริมให้ชาวนาและเกษตรกรรุ่นใหม่ขายคาร์บอนเครดิต การปรับวิธีทำนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี การผลักดันไฟฟ้าราคาย่อมเยาเพื่อภาคเกษตร การขุดบ่อบาดาลขนาดใหญ่ทุกตำบล เพื่อให้ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดใช้ และการปรับหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับทักษะในโลกจริง นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดสวัสดิการเชิงจูงใจ เช่น โปรแกรม “สุขภาพดีมีเงินคืน” และมาตรการดูแลผู้สูงอายุ–คนพิการที่มุ่งให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในระยะยาว

บทบาทในรัฐบาลเศรษฐา และโควตารัฐมนตรีของชาติไทยพัฒนา

ภายใต้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน พรรคชาติไทยพัฒนาเข้าร่วมเป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยได้โควตารัฐมนตรี 2 ตำแหน่ง วราวุธทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขณะที่อนุชา สะสมทรัพย์ สส.นครปฐมและรองหัวหน้าพรรค ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข บทบาทนี้ทำให้พรรคยังมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายด้านสังคมและสาธารณสุข ระดับชาติ ขณะเดียวกัน กัญจนา ศิลปอาชา รับหน้าที่ประธานคณะที่ปรึกษาพรรค และเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ช่วยวางยุทธศาสตร์และประสานผลประโยชน์ทางการเมืองในระดับโครงสร้าง

ฐานคะแนน “บ้านใหญ่สุพรรณ–นครปฐม” กับความพยายามขยายสู่คนเมือง

จุดแข็งที่ยังคงเด่นชัดของชาติไทยพัฒนาคือฐานเสียงแน่นในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งพรรคสามารถกวาดทุกเขตเลือกตั้งในการเลือกตั้งปี 2566 และฐานเสียงในนครปฐมที่มีตระกูลสะสมทรัพย์ช่วยค้ำยัน ความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างนักการเมืองท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ทำให้พรรคยังรักษาที่นั่งในสภาได้อย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนรวมจะไม่สูง อย่างไรก็ตาม ภายใต้วราวุธ พรรคพยายามขยับเป้าหมายจากฐานรากชนบทและตลาดล่าง ไปสู่กลุ่มชนชั้นกลางในเมืองและคนรุ่นใหม่ ด้วยการเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

ความท้าทายของพรรคเล็กในยุคพรรคใหญ่และการเมืองแบบจัดขั้ว

ในอีกมุมหนึ่ง พรรคชาติไทยพัฒนาต้องเผชิญสภาพการเมืองที่พรรคใหญ่ครองสภา ทั้งเพื่อไทย ภูมิใจไทย ก้าวไกล และประชาธิปัตย์ ทำให้จำนวน สส.ระดับ 10 คนของพรรคมีอำนาจต่อรองจำกัด การรักษาฐานเสียงเดิมในสุพรรณบุรี–นครปฐม และการขยายฐานสู่พื้นที่ใหม่จึงเป็นโจทย์ยาก นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ว่าเป็น “พรรคเก่า–พรรคบ้านใหญ่–พรรคตระกูล” กลายเป็นความท้าทายเมื่อเทียบกับพรรคใหม่ที่นำเสนอวาทกรรมการเมืองแบบคนรุ่นใหม่ ขณะที่ชาติไทยพัฒนาต้องพิสูจน์ว่าการสืบทอดจากตระกูลศิลปอาชา จะสามารถผสมผสานประสบการณ์กับปรัชญาความยั่งยืนสมัยใหม่ได้มากแค่ไหน

ข่าวลือย้ายพรรคปี 2568 และจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์

ในห้วงวันที่ 18–22 พฤศจิกายน 2568 กระแสข่าวเรื่องการย้ายพรรคของชาติไทยพัฒนาไปสังกัดภูมิใจไทยทั้งพรรคกลายเป็นประเด็นใหญ่ในวงการการเมือง ภาพ สส.จากชาติไทยพัฒนาปรากฏเคียงข้าง สส.พรรคอื่นที่เริ่มขยับเข้าใกล้ภูมิใจไทย ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าบ้านใหญ่สุพรรณและเครือข่ายอาจโยกย้ายขั้วการเมือง อย่างไรก็ตาม วราวุธออกมาปฏิเสธในภายหลัง โดยยืนยันว่าต้องการรักษาพรรคชาติไทยพัฒนาไว้ในฐานะมรดกทางการเมืองของบิดา ขณะที่ฝ่ายภูมิใจไทยนำโดยอนุทิน ชาญวีรกูล เลือกตอบคำถามด้วยการหัวเราะและเลี่ยงรายละเอียด ทำให้ทุกสายตาจับจ้องการประชุมใหญ่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ว่าจะเป็นวันที่ชาติไทยพัฒนาประกาศเส้นทางใหม่ หรือยืนยันการยืนบนชื่อเดิมต่อไป

ชาติไทยพัฒนาในวันที่ต้องเลือกระหว่าง “มรดกพรรค” กับ “สมการการเมืองใหม่”

เมื่อมองจากจุดยืนวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 พรรคชาติไทยพัฒนายืนอยู่กลางทางแพร่งสำคัญของการเมืองไทย เส้นทางกว่า 5 ทศวรรษจากพรรคชาติไทยสู่ชาติไทยพัฒนา ผ่านยุคชาติชาย ยุคบรรหาร การถูกยุบพรรค การกลับมาของกัญจนา และยุควราวุธ สะท้อนให้เห็นว่าพรรคเคยผ่านทั้งจุดสูงสุดในฐานะพรรคที่มีนายกรัฐมนตรี และจุดต่ำสุดเมื่อถูกยุบ แต่ยังสามารถกลับมายืนในสภาได้ ภาพของวราวุธในวันนี้คือผู้นำที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการรักษาชื่อ “ชาติไทยพัฒนา” ในฐานะมรดกของบรรหาร กับการพิจารณาทางเลือกใหม่ในสมการการเมืองที่ถูกจัดขั้วอย่างเข้มข้น ผลลัพธ์ของการตัดสินใจนี้จะกำหนดอนาคตของพรรค ว่าจะเดินหน้าต่อในนามเดิมพร้อมอัตลักษณ์พรรคกลางสายสิ่งแวดล้อม หรือจะปรับตำแหน่งตัวเองในโครงสร้างพรรคการเมืองไทยรูปแบบใหม่ในวันข้างหน้า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง