รีเซต

ผู้ผลิตโอดตรึงราคาไม่ไหว จ่อ 'ปรับราคาขายส่งขายปลีก' รับสงกรานต์ เม.ย. นี้

ผู้ผลิตโอดตรึงราคาไม่ไหว จ่อ 'ปรับราคาขายส่งขายปลีก' รับสงกรานต์ เม.ย. นี้
มติชน
7 มีนาคม 2565 ( 16:06 )
43
ผู้ผลิตโอดตรึงราคาไม่ไหว จ่อ 'ปรับราคาขายส่งขายปลีก' รับสงกรานต์ เม.ย. นี้

ข่าววันนี้ ผู้ผลิตโอดตรึงราคาไม่ไหว ผู้ผลิตลั่นปรับราคาขายส่งขายปลีก รับสงกรานต์ เม.ย. นี้ พณ. ใช้เอดี ‘ฟิล์มบีโอพีพี ‘เข้าจากจีน อินโด มาเลย์ ชี้กว่า 100 บริษัทแบกรับค่าหีบห่อไม่ไหว

 

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ว่า คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน พิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าฟิล์มบรรจุภัณฑ์ไบแอคเซียลลี ออเรียนเต็ดโพลิโพรพิลีน หรือฟิล์มบีโอพีพี ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในอัตรา 0.73-32.84% กับสินค้าที่นำเข้าจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศเพื่อให้มีผลบังคับใช้ หลังจากประกาศเดิมครบกำหนดแล้ว

 

สำหรับอากรเอดีที่จะเก็บจากบริษัทจากจีน ได้แก่ บริษัท Suqian Gettel Plastic Industry Co.,Ltd อัตรา 0.73% บริษัท Yunnan Hongta Plastic Co.,Ltd อัตรา 5.49% และบริษัทอื่น ๆ อัตรา 32.80% จากอินโดนีเซีย ได้แก่ บริษัท PT Argha Karya Prima Industry Tbk อัตรา 5.71% และบริษัทอื่น ๆ อัตรา 15.32% และจากมาเลเซีย ได้แก่ บริษัท Scientex Great Wall SDN.BHD. อัตรา 4.72% และบริษัทอื่น ๆ อัตรา 32.84%

 

ทั้งนี้ การใช้มาตรการเอดีกับฟิล์มบีโอพีพีดังกล่าว เป็นไปตามข้อเรียกร้องของอุตสาหกรรมในประเทศที่มีอยู่เพียงรายเดียว และปัจจุบันผู้ผลิตรายดังกล่าว ไม่ได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้า เนื่องจากมียอดขาย และมีรายได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2562-64 มีกำไรทุกปี

 

แหล่งข่าวจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การใช้เอดี เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเดียว แต่ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ทั้งอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน เทปกาว สติกเกอร์ เคลือบกระดาษ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้ฟิล์มบีโอพีพี เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ยาและเวชภัณฑ์ ของใช้ส่วนบุคคล ของใช้ในครัวเรือน

 

และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีอีกเป็น 100 ราย ได้รับผลกระทบต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น และจะมีผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบตามไปด้วย เช่น ซองใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซองขนมปัง ซองขนมขบเคี้ยว ซองลูกอม ซองใส่หน้ากากอนามัย ซองใส่ถุงมือ ซองใส่เสื้อผ้า ซองใส่ถุงยางอนามัย ซองใส่ผงเกลือแร่ ซองใส่เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ฉลากน้ำดื่ม และฉลากน้ำมันพืช เป็นต้น

 

 

“ กลุ่มสินค้า เดิมมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ทั้งต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนน้ำมัน และที่ผ่านมา หลายรายได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการตรึงราคาสินค้า แต่กระทรวงพาณิชย์กลับไม่คิดที่จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการเลย แล้วยังมาซ้ำเติม ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก และเป็นต้นทุนที่ไม่สามารถบริหารจัดการได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นราคาสินค้า คาดว่าตั้งแต่เดือน เม.ย.นี้ น่าจะเป็นช่วงที่เอดีมีผลบังคับใช้ ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ได้มีการแจ้งการปรับขึ้นราคาไปยังผู้ผลิตสินค้ากลุ่มต่าง ๆ แล้ว “

 

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนเม.ย.2565 ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างน้อย 2 ราย แจ้งขอปรับขึ้นราคาต้นทุนซองละ20- 25 สตางค์ เท่ากับเป็นการปรับขึ้นราคาขายส่งทางอ้อมกับร้านค้า ส่งผลให้กำไรของร้านค้าปรับลดลงเหลือเพียงซองละ 75 สตางค์ จากเดิมทกำไรซองละ 1 บาท ส่วนผู้บริโภคยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะร้านค้าไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาขายปลีก ยังคงจำหน่ายในราคาเดิม คือ ซองละ 6 บาท แต่ได้กำไรลดลง เพราะคนไทยนิยมซื้อราคานี้กว่า 90%

 

นายสมชาย กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุผลที่ผู้ผลิตแจ้งมายังสมาคมฯเนื่องจากต้นทุนซองบรรจุภัณฑ์มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น รวมไปถึงแป้งสาลี และน้ำมันปาล์มที่ใช้ในการทอดบะหมี่และน้ำมันปาล์มที่บรรจุอยู่ในซองบะหมี่สำเร็จรูปมีราคาเพิ่มสูงขึ้น

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าซองละ 6 บาท เพื่อช่วยดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นสินค้ามวลชน และล่าสุดขอปรับขึ้นราคา โดยลดส่วนกำไรของร้านค้าลงมา 25 สตางค์

 

ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนจริงเพิ่มขึ้นซองละ 50 สตางค์ แต่หากต้นทุนยังคงเพิ่มขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะปรับราคาขึ้นอีก และตอนนั้น คงหลีกเลี่ยงที่จะปรับราคาจำหน่ายปลีกไม่ได้ เพราะร้านค้าคงจะไม่ยอมให้ปรับลดส่วนกำไรที่มีน้อยอยู่แล้วลงไปอีก รวมทั้งคาดว่า จะมีสินค้าอุปโภคบริโภครายการอื่น ๆ ทยอยแจ้งปรับขึ้นราคาตามมาอีกเป็นจำนวนมาก เพราะผลกระทบจากต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น

 

แหล่งข่าวจากผู้ผลิตรายหนึ่ง กล่าวว่า จากอากาศที่เริ่มร้อนอบอ้าว และฝนตกบ้างช่วง ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ที่อาจมีผลผลิตออกสู่ตลาดไม่ดีนัก และเป็นต้นเหตุทำให้วัตถุดิบผลิตอาหารแปรรูปและอาหารปรุงสำเร็จ จะมีราคาสูงขึ้นกับราคาวัตถุดิบใหม่ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า เพราะต้นทุนสต๊อกเดิมเริ่มลดลง และต้นทุนรอบใหม่เริ่มแพงหลายเท่าตัวช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเฉลี่ยคาดสินค้าจะขึ้น 10-20% เช่น ข้าวราดแกง เดิม 30-35 บาท ขยับเป็น35-65 บาท กลายเป็นราคาเมนูพื้นฐานไปแล้ว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง