ทิศทางราคาทองคำ หลังเฟดไม่ใช้ยาแรง ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50%
ราคาทองคำ ในช่วงก่อนหน้านี้พุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรยากาศร้านทองคึกคัก เพราะบรรดานักเก็งกำไรพากันนำทองไปขายหรือแม้แต่คนที่พอจะมีทองสะสมไว้ก็ถือโอกาสนี้โกยกำไรจากราคาทองขาขึ้นกันได้ แม้จะมีบางช่วงที่ผันผวนและระหว่างวันอาจร่วงลงไป แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ทำราคาได้ดี
โดยก่อนหน้านั้นปัจจัยสำคัญที่ดันให้ ราคาทอง พุ่งขึ้นหลักๆก็มาจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ที่หลายฝ่ายวิตกกังวลกันว่าจะลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็คือราคาพลังงานที่ปรับขึ้นทั่วโลก รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด ที่นักลงทุนจับตามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทองคำนับเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไว้ในพอร์ต เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆที่มีความผันผวนสูง
ล่าสุด ในการประชุมของเฟดนัดล่าสุด ก็ได้มีการประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.50% ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ แต่ก็ทำให้นักลงทุนคลายความกดดันนี้ไป ส่งผลให้ราคาทองดีดกลับมาอีกครั้ง โดย บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG ) มองว่า การที่ทองคำดีดกลับหลังนักลงทุนคลายกังวลผลการประชุมเฟด ที่ไม่ได้ใช้ยาแรงเกินคาดหมาย และลดงบดุลแบบค่อยเป็นค่อยไปน้อยกว่าที่ตลาดคาด
ภาพประกอบ : AFP
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)กล่าวว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้น หลังการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงวันที่ 3-4 พ.ค. ที่ผ่านมาเสร็จสิ้น ซึ่งนักลงทุนในตลาดมองว่าเฟดไม่ได้ใช้ยาแรงเกินไปกว่าความคาดหมาย โดยการที่ เฟด มีมติ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ย 0.50% หรือ 50 bps สู่ระดับ 0.75-1.00% พร้อมประกาศแผนการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening หรือ QT) ที่จะ “เริ่มต้น” ดำเนินการปรับลดงบดุลในวันที่ 1 มิ.ย. ในวงเงิน 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน (แบ่งเป็นลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาล 3 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และลดการถือครองหลักทรัพย์ MBS 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน) และการลดงบดุลจะเพิ่มขึ้นจนแตะระดับสูงสุดที่ 9.5หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนภายใน 3 เดือน
ขณะเดียวกัน การที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ปฏิเสธแนวโน้มที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยมากถึง 0.75% แม้มีความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นรุนแรงก็ตาม นั่นทำให้นักลงทุนปิดโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มิ.ย. ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปีของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 2.9149% ส่วนดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ 102.457 จนเป็นที่มาที่ทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นจนกระทั่งทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,903.28 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงเช้าของวันนี้ในตลาดเอเชีย
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของราคาทองคำในครั้งนี้มองว่า จะเป็นการปรับขึ้นในกรอบจำกัด ซึ่งยังต้องระวังแรงขายสลับออกมาเป็นระยะ เนื่องจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังเป็นไปในลักษณะแข็งค่า รวมทั้งทิศทางดอกเบี้ยที่ยังคงเป็นขาขึ้นจากการกลับมาคุมเข้มนโยบายของเฟด ขณะเดียวกันนักลงทุนได้ลดความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดในรัสเซียกับยูเครน โดยเฉพาะกรณีที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ออกมาระบุว่าสถานการณ์ความขัดแย้งนี้จะมีโอกาสน้อยมากที่จะพัฒนาไปสู่ส่งครามโลกครั้งที่ 3 ทำให้เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ส่งผลให้ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวกลับขึ้นมา ทำให้นักลงทุนประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐอาจมีสัญญาณดีดตัวขึ้นมา ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นของวอร์เรน บัฟเฟตต์ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นอย่างมาก จนบั่นทอนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
วายแอลจี ประเมินว่า ราคาทอง จะเคลื่อนไหวในกรอบแนวต้านบริเวณ 1,920-1,934 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และประเมินกรอบแนวรับบริเวณ 1,889-1,877 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากหลุดแนวรับดังกล่าวจะมีแนวรับต่อไปบริเวณ 1,860 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนทองคำในประเทศคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30,000 - 31,200 บาท
ภาพประกอบ : AFP
ด้าน บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง ในสัปดาห์หน้า(9-13 พ.ค.) มีปัจจัยที่ให้ติดตามไม่มากแต่มีความเข้มข้นเป็นพิเศษ เนื่องจากมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือนเมษายน(ทั้งดัชนีราคาผู้บริโภค-CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต-PPI) หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมีนาคม พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปี และส่งผลให้การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.50% พร้อมส่งสัญญาณเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับเดียวกันนี้อีก 3 ครั้งในปีนี้ เพื่อสกัดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ ในขณะที่ตลาดมีความกังวลว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงถึง 0.75% ในการประชุมเดือนมิ.ย. เนื่องจากระดับ 0.50% อาจจะไม่มากพอที่จะสกัดเงินเฟ้อ รวมทั้งการประกาศจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐมิชิแกนเดือนพ.ค. เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำ Spot จะมีแนวรับแรกอยู่ที่บริเวณ 1,860 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปบริเวณ 1,850 ดอลลาร์ ในขณะที่แนวต้านแรกจะอยู่ที่บริเวณ 1,890 ดอลลาร์ และแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,900 ดอลลาร์
ที่มา : ,วายแอลจี ,ฮั่วเซ่งเฮง
ภาพประกอบ : AFP