สรท. เผยเอกชนอ่วมแบกรับภาระมาตรการป้องกันโควิดระบาดในโรงงาน วอนรัฐหนุนค่าใช้จ่าย 1 พันบาท/คน
น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ที่ปรึกษาสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สรท. ปรับคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2564 เติบโต 10-12% (ณ เดือนก.ย. 2564) เดิมคาดว่าจะโต 10% โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญในปี 2564 ได้แก่ การฟื้นตัวอย่าแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก เห็นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น เป็นผลจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ตามปกติ ราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวสูงกว่าปีที่แล้วอย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐ ที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัว
ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2564 เช่น สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ มาตรการล็อกดาวน์เพื่อลดการแพร่ระบาดในประเทศ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะส่งผลเศรษฐกิจในภาพรวม การติดเชื้อในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมกระทบต่อกำลังการผลิต และค่าใช้จ่ายตามมาตรการป้องกันทางสาธารณสุขภายในโรงงาน (Bubble & Seal) และเครื่องมือชุดตรวจโรค (ATK) ค่อนข้างสูงและยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากรัฐไม่สามารถดำเนินการแก้ไขหรือสนับสนุนงบประมาณเร่งด่วนได้ จะส่งผลกระทบให้ภาคการผลิตหยุดชะงักหรือไม่สามารถทำการผลิตได้อย่างเต็มที่ ส่งผลต่อการส่งมอบสินค้าและการส่งออกไม่สามารถขยายตัวได้ 10-12% ตามที่คาดการณ์ไว้
ปัญหาการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ค่าระวางเรือยังคงปรับตัวอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยมีการปรับขึ้นในเกือบทุกเส้นทางโดยเฉพาะเส้นทางยุโรป และสหรัฐ เนื่องด้วยปริมาณการขนส่งทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อาทิ Peak Season Surcharge (PSS) และอื่นๆ ซึ่งผู้นำเข้า/ส่งออก ต้องชำระเพิ่มเนื่องจากสถานการณ์การขาดแคลนระวางและตู้คอนเทนเนอร์
ปัญหาการบริหารจัดการตู้สินค้าภายในท่าเทียบเรือ และปัญหาการล่าช้าของเรือทำให้ตู้สินค้าตึงตัว เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลกระทบให้การยกระดับมาตรการคุมเข้มในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในต่างประเทศ เช่น จีน ที่เพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจโควิด-19 กับสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น การขาดแคลนแรงงาน ความต้องการแรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น แรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศและยังไม่ได้เดินทางกลับเข้ามา เนื่องจากมาตรการปิดประเทศ ประกอบกับปัจจุบันจำนวนวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย ยังไม่สามารถจัดสรรให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานในภาคการผลิตเท่าที่ควร ยิ่งซ้ำเดิมปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นและกระทบต่อการผลิตเพื่อการส่งออก
เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่า จากปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศ ส่งผลด้านลบต่อทางเศรษฐกิจไทยปี 2564 และการอ่อนค่าโดยเปรียบเทียบของดอลลาร์สหรัฐ จากการที่เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ (QE Tapering) ภายในปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวขึ้นในวงกว้างตามคาดการณ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแรงกดดันเงินเฟ้อสหรัฐ เพิ่มขึ้นสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณไหลเงินเข้ายังกลุ่มประเทศ Emerging market มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลการส่งออกของไทยในระยะต่อไป ปริมาณปัจจัยการผลิตไม่เพียงพอและต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น อาทิ ปัญหาการขาดแคลนชิป สินค้าเหล็ก ผลผลิตทางการเกษตร และอาจมีแนวโน้มยังคงขาดแคลนต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2564
สรท. จึงขอให้รัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1,000 บาท/คน สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและภาคการผลิตที่เริ่มเข้ามาตรการ Factory Quarantine (FQ) หรือ Factory Accommodation Isolation (FAI) ในช่วงตั้งต้นของการดำเนินมาตรการ (One Time Cost) สนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ทางสาธารณสุข อาทิ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 หรือ Antigen Test Kit (ATK) ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีพนักงานบางส่วนติดเชื้อ และต้องมีการตรวจติดตามพนักงานอื่นที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นระยะ อย่างน้อย 7-14 วันต่อครั้ง ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงโดยเฉพาะ SME รวมถึงขอให้มีการควบคุมราคาชุดตรวจ ATK ให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม
เร่งฉีดวัคซีนให้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกให้ครอบคลุมโดยเร็ว เพื่อช่วยให้แรงงานลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและมีรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยรักษากำลังซื้อของครัวเรือนทั่วประเทศและพยุงเศรษฐกิจในประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไป