ผู้เชี่ยวชาญเตือนสหรัฐฯ เสี่ยงที่จะพ่ายแพ้จีนในการแข่งขันส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ครั้งใหม่

อเมริกาเผชิญความเสี่ยงที่จะพ่ายแพ้ในสงครามดวงจันทร์กับจีน ผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศได้ออกมาเตือนต่อคณะกรรมการพาณิชย์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียการเป็นผู้นำด้านอวกาศให้กับจีน หากโครงการอาร์ทิมิส (Artemis) ของ NASA ไม่ได้รับงบประมาณและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
การพิจารณาครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแข่งขันด้านอวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจดวงจันทร์ครั้งใหม่ ซึ่งมีความสำคัญต่ออิทธิพลและอนาคตของสหรัฐฯ ในอวกาศ
คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
การประชุมเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมานำโดยวุฒิสมาชิก เท็ด ครูซ (Ted Cruz) ที่ตั้งชื่อหัวข้อว่า "The Moon is Rising" ได้เน้นย้ำถึงความกังวลอย่างจริงจังว่าหากอาร์ทิมิสล้มเหลว สหรัฐฯ อาจสูญเสียดวงจันทร์ให้กับจีน
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน เช่น อัลเลน คัตเลอร์ (Allen Cutler) ประธานและซีอีโอของกลุ่มพันธมิตรเพื่อการสำรวจอวกาศลึก, ไมค์ โกลด์ (Mike Gold) ประธานฝ่ายอวกาศพลเรือนและนานาชาติ และพลโท จอห์น ชอว์ (Lieutenant General John Shaw) อดีตรองผู้บัญชาการกองบัญชาการอวกาศสหรัฐฯ
รวมถึงอดีตผู้บริหารของ NASA จิม ไบรเดนสไตน์ (Jim Bridenstine) ได้ออกมาให้การเป็นพยานและระบุว่าความล่าช้าหรือความไม่แน่นอนด้านงบประมาณอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและพันธมิตรของสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาอาจหันไปร่วมมือกับจีนแทน ซึ่งกำลังเร่งพัฒนาโครงการสำรวจดวงจันทร์ของตนเองอย่างรวดเร็ว
ความก้าวหน้าของจีนและความท้าทายของสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวถึงความก้าวหน้าของจีนอย่างน่าเป็นห่วง เช่น การทดสอบยานขนส่งลูกเรือและจรวดขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างเป็นระบบในการลงจอดบนดวงจันทร์
นายไมค์ โกลด์ (Mike Gold) เตือนว่า "ประเทศที่ไปถึงดวงจันทร์ก่อนจะเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ (นับเฉพาะการแข่งขันไปดวงจันทร์ครั้งใหม่)" สำหรับการสำรวจดวงจันทร์ ทั้งในเรื่องทรัพยากร การบริหารจัดการ และความร่วมมือระหว่างประเทศ
จีนมีความได้เปรียบในเรื่อง ความสอดคล้องและชัดเจนของวัตถุประสงค์ ในขณะที่สหรัฐฯ ประสบปัญหาความไม่ต่อเนื่องของนโยบายที่เปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อโครงการระยะยาวอย่างอาร์ทิมิส
สถานะปัจจุบันของโครงการ Artemis และยาน Starship
โครงการอาร์ทิมิสใช้จรวด Space Launch System (SLS) และแคปซูล Orion เป็นยานหลัก แม้ว่าภารกิจ Artemis 2 ซึ่งเป็นการบินรอบดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบหลายสิบปี จะมีกำหนดปล่อยในเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังขาด ยานลงจอดบนดวงจันทร์ ที่สมบูรณ์สำหรับการลงจอดจริงในภารกิจ Artemis 3
ขณะนี้ NASA ต้องพึ่งพายาน Starship ของบริษัท SpaceX ในการเป็นระบบลงจอดบนดวงจันทร์ แต่ยาน Starship ยังคงต้องผ่านการทดสอบที่สำคัญอีกหลายขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติมเชื้อเพลิงในวงโคจรและการลงจอดบนดวงจันทร์แบบไร้คนขับ ทำให้การลงจอดของภารกิจ Artemis 3 ที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2027 ยังคงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ และถูกตั้งคำถามเรื่องของระยะเวลา
สถานีอวกาศ Gateway และปัญหางบประมาณ
สถานีอวกาศ Gateway ซึ่งเป็นสถานีพักระหว่างการเดินทางไปดวงจันทร์ มีความสำคัญต่อโครงการอาร์ทิมิสอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการลดงบประมาณสำหรับ Gateway จะทำให้พันธมิตรระหว่างประเทศที่ได้ลงทุนไปแล้วนับพันล้านดอลลาร์หันไปหาประเทศอื่น และจะทำให้ความสามารถของโครงการอาร์ทิมิสอ่อนแอลง ในทางกลับกัน การลงทุนอย่างต่อเนื่องจะช่วยกระตุ้นเงินทุนจากต่างประเทศเพิ่มเติมและสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมหาศาลให้กับสหรัฐฯ
ผู้สนับสนุนโครงการอาร์ทิมิสยังชี้ให้เห็นว่าโครงการนี้เป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ โดยมีการประมาณการว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ ที่ลงทุนจะสร้างผลตอบแทนถึง 3 ดอลลาร์ และมีซัพพลายเออร์กว่า 2,700 ราย ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
ความสำคัญของวงโคจรต่ำของโลก (LEO) และวิสัยทัศน์ในอนาคต
นอกจากดวงจันทร์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความเป็นผู้นำในวงโคจรต่ำของโลก (LEO) โดยการสนับสนุนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) และการเปลี่ยนผ่านสู่สถานีอวกาศเชิงพาณิชย์ในอนาคต หากสหรัฐฯ ล้มเหลวในการรักษาสถานะใน LEO อาจทำให้พันธมิตรหันไปร่วมมือกับจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และความมั่นคงของชาติในระยะยาว
พลโท จอห์น ชอว์ (John Shaw) อดีตรองผู้บัญชาการกองบัญชาการอวกาศสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้มี ยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ครอบคลุม ซึ่งจะรวมความพยายามด้านพลเรือน การค้า และการป้องกันประเทศเข้าด้วยกัน เพื่อกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการสำรวจอวกาศ
ผู้เชี่ยวชาญได้สรุปว่า ผลลัพธ์ของการแข่งขันครั้งนี้จะกำหนดนโยบายและภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของโลกในอีกหลายสิบปีข้างหน้า การสูญเสียความเป็นผู้นำในอวกาศให้กับจีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และความมั่นคงของชาติของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
