รีเซต

Koenigsegg Gemera ไฮเปอร์คาร์ 4 ที่นั่งคันแรกของโลก รถครอบครัวที่ขับขี่ได้ทุกวัน

Koenigsegg Gemera ไฮเปอร์คาร์ 4 ที่นั่งคันแรกของโลก รถครอบครัวที่ขับขี่ได้ทุกวัน
แบไต๋
30 มีนาคม 2566 ( 16:41 )
177
Koenigsegg Gemera ไฮเปอร์คาร์ 4 ที่นั่งคันแรกของโลก รถครอบครัวที่ขับขี่ได้ทุกวัน

ไม่บ่อยนักที่เราได้สัมผัสรถไฮเปอร์คาร์คันจริงแบบใกล้ชิดแบบนี้ ในงาน The Koenigsegg Gemera Private Viewing ที่จัดโดยบริษัท เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย จำกัด (ในเครือชาริช โฮลดิ้ง) นำโดย อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการและ ศักดิ์ นานา กรรมการ ถือเป็นการเผยโฉมที่สุดแห่งนวัตกรรมไฮเปอร์คาร์ 4 ที่นั่งคันแรกของโลกที่มีเพียง 300 คันทั่วโลก และนำเข้ามาขายไทยถึง 6 คัน

หลังจาก Koenigsegg Automotive AB ประกาศแต่งตั้งให้บริษัท เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย (ในเครือชาริช โฮลดิ้ง) เป็นตัวแทนจำหน่ายไฮเปอร์คาร์ Koenigsegg อย่างเป็นทางการในประเทศไทยในปี 2021 และปีนี้คนไทยจึงได้สัมผัสกับไฮเปอร์คาร์จริง ๆ เสียทีกับ Koenigsegg Gemera Mega-GT ไฮเปอร์คาร์ 4 ที่นั่งคันแรกของโลก ที่ออกแบบมาให้เป็นรถครอบครัว ใช้งานได้ทุกวัน ส่งตรงจากสวีเดนมาให้แฟน ๆ ที่รักรถได้สัมผัสคันจริงที่โชว์รูม Koenigsegg Bangkok

มร.คริสเตอร์ ฮัลต์เบิร์ก Transport Manager ของแบรนด์ Koenigsegg

Koenigsegg เป็นแบรนด์รถยนต์หรูที่ก่อตั้งโดยเด็กหนุ่มวัย 22 ปีอย่าง มร.คริสเตียน ฟอน เคอนิกเส็กก์ (Christian von Koenigsegg) ในปี 1994 และเขายังดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Koenigsegg Automotive AB มาจนถึงวันนี้อีกด้วย ปัจจุบัน Koenigsegg มีพนักงานอยู่มากกว่า 650 คน

คุณเคอนิกเส็กก์เป็นผู้พาแบรนด์ Koenigsegg ไปสู่ระดับโลก โดยวิธีการสร้างรถที่ไม่เหมือนใครคือ วัสดุทุกชิ้น อะไหล่ทุกตัว Koenigsegg ต้องทำขึ้นเองรวมถึงออกแบบเองทั้งหมดที่โรงงานแห่งเดียวในสวีเดน ตั้งแต่ขั้นตอนร่างแบบ การเลือกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ดีไซน์ไฟหน้าไฟท้าย ดีเทลภายในตัวรถที่เปรียบได้กับงานคราฟต์ชั้นดี ไปจนถึงสมรรถนะของตัวรถ เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าก็ผลิตขึ้นมาเองให้ตอบสนองผู้ขับขี่ได้เต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงสุด เรียกได้ว่าของทุกชิ้นไม่มีแบรนด์อื่นมาผสมเลย

รถทุกคันจึงเปรียบดั่งงานศิลป์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้างขึ้นตามมาตรฐานสูงสุดของแบรนด์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกรายละเอียด รวมถึงทางด้านนวัตกรรม ทำให้หลายปีที่ผ่านมาแบรนด์ Koenigsegg ได้มีการจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการทำลายสถิติโลกอย่างต่อเนื่องในรถหลากหลายรุ่น

และแล้วก็มาถึง Koenigsegg Gemera Mega-GT รถไฮเปอร์คาร์ 4 ที่นั่งคันแรกของโลก มาพร้อมกับมร.คริสเตอร์ ฮัลต์เบิร์ก (Christer Hultberg) ผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวรถ รวมถึงดำรงตำแหน่ง Transport Manager ของแบรนด์ Koenigsegg เขาเดินทางรอบโลกไปกับรถคันนี้ด้วย

คุณฮัลต์เบิร์กเล่าสาเหตุที่ทำรถไฮเปอร์คาร์ 4 ที่นั่งแบบที่ Koenigsegg ไม่เคยทำมาก่อน เพราะว่า “เราอยากให้ Koenigsegg Gemera Mega-GT เป็นรถไฮเปอร์คาร์สำหรับครอบครัว ที่สามารถเดินทางพร้อมกันได้ทั้งพ่อแม่ลูกถึง 2 คน และยังเป็นรถที่ใช้งานได้จริงในทุกวัน ไม่ว่าคุณจะขับไปเที่ยว ขับส่งลูกไปโรงเรียน หรือไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต”

“ส่วนที่ยากที่สุดในการทำรถคันนี้คือ การหาคนที่เก่งในเรื่องงานฝีมือ เพราะทุกชิ้นส่วนเราผลิตขึ้นมาเองทั้งหมด เราจึงต้องการคนที่มีความสามารถตรงนี้เพื่อให้รถตรงกับความต้องการที่สุด ปัจจุบันเรามีพนักงานมากกว่า 650 คนที่มาจาก 47 ประเทศ ถ้าเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อนเรามีคนทำงานแค่ 50 คนเท่านั้น ถือว่าเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเลยจริง ๆ ครับ”

ประตู 2 ประตู โดยไม่มีเสา B คั่นกลาง

หลังจากฟังคุณฮัลต์เบิร์กเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวรถ เรามาดูดีไซน์ภายนอกตัวรถกันบ้างค่อนข้างโฉบเฉี่ยวตามสไตล์รถไฮเปอร์คาร์ ตัวรถแม้จะมี 4 ที่นั่ง แต่มีแค่ 2 ประตูแบบปีกนก ที่ผู้โดยสารแถวหน้าและแถวหลังสามารถเข้าไปได้พร้อมกัน เพราะไม่มีเสา B มาคั่น และยังมีพื้นที่ leg room กว้างขวาง ขึ้นลงสะดวก แต่ที่น่าสนใจคือการติดตั้งกล้องแสดงภาพแทนกระจกมองข้าง บริเวณด้านข้างประตู ซึ่งเป็นครั้งแรกของ Koenigsegg ที่นำกล้องมาใช้แทนกระจกมองข้างทั่วไป

ที่วางแก้ว 8 จุด สามารถทำความร้อนและเย็นได้ Koenigsegg ใช้เวลาพัฒนากว่า 2 ปี

ภายในห้องโดยสารของ Koenigsegg Gemera Mega-GT เบาะไฟฟ้า 4 ที่นั่งเพื่อให้การขึ้นลงสะดวกมากขึ้น มาพร้อมหน้าจอ 2 ตำแหน่ง ทั้งที่นั่งแถวหน้าและแถวหลัง สำหรับให้เด็ก ๆ สามารถดูหนังฟังเพลงหรือเล่นเกมได้ด้วย มาพร้อมตำแหน่งวางแก้ว 8 จุด ที่รองรับฟังก์ชันอุ่นหรือรักษาความเย็นได้ด้วย รองรับระบบ Apple CarPlay และลำโพงกว่า 11 จุด ทั้งยังสามารถบรรทุกกระเป๋าเดินทางได้สูงสุด 4 ใบ ในตำแหน่งใต้ฝากระโปรงหน้า 1 ใบ และใต้ฝากระโปรงท้าย 3 ใบ

ไฮเปอร์คาร์ ที่มีช่องเก็บสัมภาระได้ถึง 4 ใบ (หน้า 1 หลัง 3)

ในส่วนสมรรถนะ Koenigsegg Gemera Mega-GT ถือเป็นรถไฮเปอร์คาร์ไฮบริดคันที่สองของแบรนด์ Koenigsegg ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตร และมีชื่อเรียกด้วยนะว่า ‘Tiny Friendly Giant (TFG)’ ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 มอเตอร์ มอบพละกำลังสูงสุด 1,700 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 3,500 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 1.9 วินาทีเท่านั้น

เบาะที่นั่งไฟฟ้า ทำจากวัสดุคาร์บอนแข็งแรงที่สุดในโลก

Koenigsegg Gemera Mega-GT มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 15 kWh สามารถขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียว ๆ ด้วยความเร็วสูงสุด 300 กม./ชม. และขับขี่ในโหมดไฟฟ้าสูงสุด 50 กม. แต่ที่ล้ำไปกว่านั้นตัวรถยังออกแบบมาให้ใช้กับน้ำมันพิเศษชื่อว่า Volcano ที่สกัดจากภูเขาไฟ (แต่มีขายบางประเทศเท่านั้น) ทำให้ตัวรถปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็น 0 ครับ นั่นคือไม่ปล่อยมลพิษเหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง แต่ประเทศไทยที่คงหาน้ำมัน Volcano ได้ยาก ก็สามารถเติมน้ำมัน E85 ได้และปล่อยไอเสียออกมาน้อยมาก ๆ เช่นกัน ที่น่าตกใจคือการเติมน้ำมันเต็มถังสามารถขับขี่ได้สูงสุด 950 กิโลเมตรเลยทีเดียว มีไฮเปอร์คาร์ที่ไหนทำได้แบบนี้

ด้านหลังของ Koenigsegg Gemera Mega-GT

เราถามคุณฮัลต์เบิร์กว่า Koenigsegg มีแพลนจะทำรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นไฮเปอร์คาร์บ้างไหม เขาตอบว่า “เวลาคุณพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า นั่นหมายถึงแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ความคล่องตัวหรือการเบรกไม่ได้อยู่ในจุดที่ดีที่สุด รวมถึงปัญหาใหญ่คือจุดชาร์จ มันง่ายมากที่จะหาจุดชาร์จในยุโรป แต่ในไทยยังคงเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ได้ แล้วแต่เจ้านายของผม (คุณคริสเตียน)”

คุณฮัลต์เบิร์กเล่าอีกว่า “หากคุณต้องการเป็นเจ้าของ Koenigsegg Gemera Mega-GT คันนี้ต้องรออีกอย่างน้อย 2 ปีในการผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ กว่าจะได้ขับจริงก็ปี 2025 โน้นเลยครับ และที่ต้องเพียง 300 คัน จริง ๆ เราจะทำมากกว่านั้นก็ได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องลดต้นทุนลงเพื่อจะผลิตได้มากขึ้น แต่เราไม่ได้การผลิตมากไปกว่านี้”

ความพิเศษของ Koenigsegg Gemera Mega-GT ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะตัวรถมีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 300 คันทั่วโลกเท่านั้น และประเทศไทยได้รับเกียรตินำเข้ามาขายแค่ 6 คัน โดยบริษัท เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย จำกัด (ในเครือชาริช โฮลดิ้ง) แถมล่าสุดแจ้งว่าขายออกไปแล้วถึง 5 คันด้วยกัน ใครอยากสัมผัสเทคโนโลยีไฮเปอร์คาร์ ก็มีราคาอยู่ที่ 3.298 ล้านยูโร หรือประมาณ 120 ล้านบาทเท่านั้นเอง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง