PHG ไฮซีซันเฮลธ์แคร์ทำเงิน ดันอัตราครองเตียงพีค 95%
#PHG #ทันหุ้น-PHG มองไตรมาส 4/2566 ผลการดำเนินงานแนวโน้มดีต่อเนื่อง รับเข้าไฮซีซัน Health care โรคระบาดกระจายตัววงกว้าง ดันอัตราครองเตียงพุ่งเหนือระดับ 90-95%เดินหน้าขยายศูนย์บริการทางการแพทย์ใหม่อัพแกร่งฐานคนไข้และผู้ใช้บริการต่างชาติ วางเป้าปี 2566-68 รายได้เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10-15% หรือแตะระดับ 2.6 พันล้านบาท
นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/2566 มองว่าจะมีการขยายตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เพราะยังคงเป็น ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ Health Care ด้วยปัจจัยของฤดูฝนและสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีโรคระบาดต่างๆ แพร่ระบาดมากกว่าช่วงปกติ
อีกทั้ง จากการเข้าสู่การเปิดภาคเรียนใหม่ ทำให้อัตราการเข้ารับรักษาสุขภาพ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น อาทิ โรคมือเท้าปาก ไข้หวัดใหญ่ และโรคตาแดง เป็นต้น ส่งผลให้อัตราการครองเตียงนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 มาจนถึงปัจจุบันยังทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงกว่า 90-95% มาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มทรงตัวสูงเช่นนี้ไปตลอดในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกด้วย สะท้อนต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานที่มีการเติบโต
*รายได้โต 10-15%
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนการใช้เงินภายหลังระดมทุน ได้แก่ โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ 1 ที่จะมีการเพิ่มศูนย์การรักษาโรคมะเร็ง ศูนย์ MRI Center และ Dialysis Unit มูลค่าลงทุน 300 ล้านบาท และอาคารจอดรถ และมิกซ์ยูส มูลค่าลงทุน 200ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในช่วงปลายปี 2566 และแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 4/2567เป็นต้นไป
การเพิ่มอาคารใหม่ดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีจำนวนเตียงรองรับคนไข้เพิ่มขึ้น 11% หรือเป็น 300 เตียง จากปัจจุบันที่มี 270 เตียง ศูนย์ไตมียูนิตที่เพิ่มขึ้น 106% เป็น 130 ยูนิต จากปัจจุบันที่มี 63 ยูนิต รวมถึงสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับคนไข้ส่วนประกันสังคมได้เพิ่มอีก 13% เป็น 176,000 ราย จากปัจจุบันที่ 156,000 ราย และเพิ่มพื้นที่จอดรถได้มากขึ้น 122% เป็น 400 คัน จากปัจจุบันที่ 180 คัน
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 2566-2568 ไว้ที่เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10-15% ต่อปี หรือภายในปี 2568 รายได้จะแตะที่ระดับมากกว่า 2,600 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนให้อยู่ในระดับที่ดีเพื่อรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ที่เหนือกว่า 10-12% การเติบโตดังกล่าวสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการทางการแพทย์ การขยายศูนย์การรักษาโรคเฉพาะทางและโรคที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้วกว่า 18 ศูนย์
*อัพฐานคนไข้เพิ่ม
รวมถึงขยายฐานคนไข้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่องและยั่งยืน และที่สำคัญคือการตอกย้ำการเป็นสถานพยาบาลเอกชนชั้นนำที่ให้บริการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจับมือร่วมกับบริษัท Haifu ผู้ผลิตและพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำ ในการนำเอาเครื่องอัลตร้าซาวด์ ที่ใช้สำหรับการทำลายเนื้องอกในมดลูกมาให้บริการ
เบื้องต้นได้มีการทยอยติดตั้งแล้วในเดือนกันยายน 2566 โดยในไตรมาส 4/2566 จะเปิดให้บริการตรวจและรักษาได้ ทั้งนี้ วางเป้าหมายการสร้างรายได้เพิ่มให้บริษัทได้มากกว่า 90 ล้านบาทในปี 2568 นอกจากนี้ ในช่วงกลางปี 2566 บริษัทได้มีการเพิ่มศูนย์ศัลยกรรมจุดซ่อนเร้น-เลเบีย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก คาดว่าในปี 2567จะเห็นรายได้ศูนย์ดังกล่าวเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 10%ขณะเดียวกันก็ได้เริ่มเปิดให้บริการคลีนิกที่ซอยนานาแล้ว หลักๆ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้บริการทางการแพทย์ที่บริษัทมีโดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติในแถบตะวันออกกลาง คาดว่าในปี 2567 จะมีฐานคนไข้ที่เข้าใช้บริการไม่น้อยกว่า 10,000 ราย