รีเซต

ECB ลดดอกเบี้ยลง 0.25% หุ้นสหรัฐฯปิดลบ NVDA -1.4% ADBE -13.7%

ECB ลดดอกเบี้ยลง 0.25% หุ้นสหรัฐฯปิดลบ NVDA -1.4% ADBE -13.7%
ทันหุ้น
13 ธันวาคม 2567 ( 12:54 )
8

 

#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น – บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซียพลัส

 

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 3.00% ตามคาดการณ์ในวงกว้างของตลาด โดยระบุว่า “กระบวนการชะลอลงของเงินเฟ้อยังดำเนินไปได้ด้วยดี (The disinflation process is well on track)” ซึ่งเครื่องชี้ส่วนใหญ่ที่สะท้อนพื้นฐานของเงินเฟ้อ (Underlying inflation) ได้สะท้อนว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ราว 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของธนาคารกลางในระยะปานกลาง

 

สำหรับประมาณการ ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยในปี 2567-2570 จะอยู่ที่ระดับ 2.4%, 2.1%, 1.9% และ 2.1% ตามลำดับ ขณะที่ได้ประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้าลงกว่าที่คาดไว้เดิมเมื่อเทียบกับที่มองไว้ในเดือน ก.ย. ซึ่งทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเพียง 0.7% ใน ปี 2567 และมองว่าจะเติบโต 1.1%, 1.4% และ 1.3% ในปี 2568-70 ตามลำดับ โดยถ้อยแถลงของ ECB ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปในระยะข้างหน้า เนื่องจากได้มีการตัดข้อความที่ระบุว่า “จะมีการรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเข้มงวดและเพียงพอเป็นระยะเวลานานเท่าที่จำเป็น (…will keep policy rates sufficiently restrictive for as long as necessary…)” ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ (Bloomberg survey) คาดว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกราว 100 bps ในปี 2568

มาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิตสหรัฐฯ หรือดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 3.0% YoY ในเดือน พ.ย. สูงกว่าคาดการณ์ของตลาดและเดือนก่อนที่ 2.6% ขณะที่หากไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ดัชนี Core PPI ขยายตัว 3.4% เท่ากับเดือนก่อน แต่สูงกว่าตลาดคาดเช่นกันที่ 3.2% ขณะที่ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) อยู่ที่ 242k ตำแหน่ง ณ สัปดาห์สิ้นสุด 7 ธ.ค. สูงกว่าตลาดคาดที่ 220k ตำแหน่ง และสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 225k ตำแหน่ง

 

อย่างไรก็ดี ตลาดการเงิน (Fed Watch Tool) ยังคงให้น้ำหนักเกือบ 100% เช่นเดิมว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมสัปดาห์หน้า และให้น้ำหนัก 78% ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ม.ค.

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.54% ส่วนหนึ่งจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (Nvidia -1.4%) และกลุ่ม Healthcare

 

ด้านราคาหุ้น Adobe ร่วงลง -13.7% หลังบริษัท เปิดเผยตัวเลขประมาณการรายได้ในปี 2568 ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด โดยบริษัทมองว่า รายได้จะอยู่ที่ $2.34 หมื่นล้าน ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ $2.37 หมื่นล้าน ขณะที่ ประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่ $20.3 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ $20.5

 

ขณะที่ราคาหุ้น Warner Bros. Discovery พุ่งขึ้น +15.4% หลังบริษัทประกาศปรับโครงสร้างองค์กรโดยมีแผนจะแยกธุรกิจเคเบิลทีวีที่กำลังซบเซาลงในขณะนี้ ออกจากธุรกิจสตรีมมิงและสตูดิโอ โดยบริษัทคาดว่า จะเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในกลางปีหน้า

 

ด้านคณะบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าจะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์ (แผงโซลาร์เซลล์) และโพลีซิลิคอนจากจีนสู่ระดับ 50% และปรับขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ ทังสเตนขึ้นสู่ระดับ 25% โดยมาตรการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2568 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาดให้สามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ และส่งเสริมธุรกิจพลังงานสะอาด

 

- นักวิเคราะห์จาก Stifel คาดว่าดัชนี S&P500 อาจปรับตัวลง 10-15% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 พร้อมกับคาดการณ์ว่า Fed จะหยุดวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ม.ค. อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งแรกของปี ดัชนี S&P500 ยังมีแนวโน้มพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ด้วยแรงขับเคลื่อนจากโมเมนตัมในปัจจุบันและผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนฯ

 

- สำหรับสภาล่างญี่ปุ่นได้มีการอนุมัติร่างงบประมาณเพิ่มเติม (FY2024 Supplementary Budget) ตามที่นายกรัฐมนตรี Ishiba ได้เสนอไปวงเงิน 13.9 ล้านล้านเยน ซึ่งในขั้นตอนถัดไปจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาบน ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาในวันที่ 13 และ 16 ธ.ค. นี้ ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียงในวันอังคารที่ 17 ธ.ค. ด้านค่าเงินเยน USD/JPY อ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับราว 153 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หลังมีรายงานข่าว BoJ อาจยังไม่รีบร้อนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า (19 ธ.ค.)

 

- ราคาน้ำมันดิบ WTI -0.4% หลังรายงานของ IEA ระบุว่า ตลาดจะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกิน950,000 บาร์เรลต่อวันในปีหน้า หรือเกือบเท่ากับ 1% ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก และคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันส่วนเกินจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากกลุ่มประเทศ OPEC+ เริ่มปรับเพิ่มการผลิตในเดือน เม.ย. 2568โดยยังคงมองว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะชะลอตัวต่อไปขณะที่อุปทานน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง

 

- สำหรับการประชุม Central Economic Work Conference (CEWC) ของจีนวานนี้ ยังเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์และสอดคล้องกับที่ทางการจีนได้เคยมีการส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ (ดังเช่นการประชุม NPC Standing Committee เมื่อวันที่ 4-8 พ.ย., การส่งสัญญาณของผู้ว่าการฯ PBoC เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. และการประชุม Politburo เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.) โดยจะเพิ่มอัตราส่วนการขาดดุลงบประมาณ, มีแผนที่จะออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษระยะยาวและเพิ่มการออกและการใช้พันธบัตรพิเศษของรัฐบาลท้องถิ่น, นโยบายการเงินเปลี่ยนไปเป็นการผ่อนคลายปานกลาง, กระตุ้นการบริโภค, มุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพในตลาดที่อยู่อาศัย และยืนยันว่าจีนจะมุ่งมั่นเพื่อการฟื้นตัวและปรับปรุงเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นที่การปรับเปลี่ยนตามวัฏจักรและเพิ่มความเข้มแข็งของนโยบายมหภาค

 

- วันนี้ติดตามรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ Industrial Production (ต.ค.) ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ด้านจีนจะมีการเปิดเผยตัวเลข New Yuan Loans (พ.ย.) ในช่วงวันที่ 13-15 ธ.ค.

 

ดัชนี Hang Seng (HSI) +1.20%, Hang Seng China Enterprises (HSCE) +1.53% และ Hang Seng TECH (HSTECH) +1.53% ท่ามกลางความสนใจมุ่งเน้นไปที่การประชุม Central Economic Work Conference (CEWC) ของจีน ซึ่งเป็นการประชุมสองวันและมีกำหนดสิ้นสุดในวันนี้ ซึ่งตลาดคาดหวังว่าจะได้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่หลังจากที่คณะกรมการเมือง (Politburo) ของจีนส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายที่เกี่ยวกับแผนสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

 

- หุ้นจีนในกลุ่ม Consumer ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำโดย China Mengniu Dairy (2319 HK)+7.21%, Trip. com Group (9961 HK) +4.36% และ Haidilao International (6862 HK) +3.89% ท่ามกลางความคาดหวังต่อนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นเพื่อกระตุ้นความต้องการในประเทศ รวมถึงได้รับแรงหนุนจากรายงานข่าวท้องถิ่นที่ระบุว่าเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง กำลังเริ่มเปิดตัวรอบใหม่ของโครงการแจกคูปองเพื่อกระตุ้นการบริโภคก่อนช่วงวันหยุด ขณะที่ Shen Meng ผู้อำนวยการจาก Chanson & Co. กล่าวว่า "การคาคการณ์มาตรการเชิงนโยบายที่ชัดเพื่อกระตุ้นการบริโภคจากการประชุมเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายกระตุ้นก่อนหน้านี้ จะส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นโดยรวมของตลาด"

 

- CCB International เผยตลาดหุ้นฮ่องกงในปี 2567 แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและคาดว่าจะสิ้นสุดการขาดทุนต่อเนื่องที่นานถึง 4 ปี แม้จะยังมีอุปสรรคในการปลี่ยนผ่านจากตลาดหมีสู่ตลาดกระทิง แต่คาดว่ากระบวนการนี้จะชัดเจนขึ้นในปี 2568 ซึ่ง CCBI คาดการณ์ว่าช่วงสามเดือนแรกหลังจาก Donald Trump เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568 จะเป็นช่วงเวลาที่มีการดำเนินนโยบายอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเก็งกำไรในตลาด ("Trump trade') อาจชะลอตัวลงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นในช่วงแรก ขณะเดียวกัน จีนมีแนวโน้มที่จะเร่งออกมาตรการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลังการประชุม "Two Sessions" ในเดือนมีนาคม 2568

 

-นอกจากนั้น CCBI คาดว่าตลาดหุ้นฮ่องกงในปี 2568 จะปรับตัวลงในช่วงต้นปีก่อนจะกลับมาฟื้นตัว พร้อมกับความผันผวนที่ขยับตัวขึ้น ซึ่งมองดัชนี HSI อาจเคลื่อนไหวในช่วง 18,000-23,000 จุด จึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นตั้งรับก่อนในช่วงแรกแล้วจึงปรับกลยุทธ์เชิงรุกในภายหลัง ซึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2568 ได้แก่ กลุ่มอินเทอร์เน็ต, รถยนต์พลังงานใหม่ (NEVs), สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, การบริโภค, ยาชีวภาพ, เหมืองแร่และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงการเงิน โดยเน้นลงทุนในกลุ่มที่มีมูลค่าต่ำและให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูง โดยหุ้นที่โฟกัส 10 ตัวแรกได้แก่ Tencent(700 HK), Meituan (3690 HK), JD. Com (9618 HK), AAC Tech (2018 HK), Xiaomi (1810 HK), CPIC (2601 HK), Geely Auto (175 HK), China Shenhua (1088 HK), Zoomlion (1157 HK), Iเละ Akeso (9926 HK)

 

 

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง