กองทุนมั่งคั่งแก้บาทแข็ง TDRI แนะรัฐเร่งเบิกจ่าย

#TDRI #ทันหุ้น – ประธาน สศช. แนะใช้ยาแรงแก้บาทแข็ง ดึงเงินกองทุนสำรองจาก ธปท. มาตั้ง กองทุนมั่งคั่ง ขณะที่ TDRI ยังเชื่อปลายปีบาทอ่อนแตะ 33 บาท เหตุส่งออกจะทรุด มองคนละครึ่งช่วยไม่มาก แนะรัฐบาลผ่อนกฎดึงลงทุนและเร่งเบิกจ่ายภาครัฐ ด้าน ผอ.ITD ชี้ทั่วโลกโดนค่าเงิน-ภาษีเหมือนกัน ชี้ควรเร่งเสริมแกร่งธุรกิจ
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ภาคส่งออกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก และจะยังคงเป็นแบบนี้อีกนาน เนื่องจากแนวโน้มของเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้คือการโยกเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงเกินจำเป็นออกจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ ซึ่งการที่ทุนสำรองลดลงจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตาม ขณะที่การบริหารเงินในกองทุนมั่งคั่งแห่งชาตินั้นจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลได้ ทั้งนี้ล่าสุด ธปท. มีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 2.61 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากปี 2015 ที่อยู่ที่ 1.68 แสนล้านดอลลาร์
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า แม้จะมีการโยกเงินออกจากกองทุนสำรองแต่จะไม่ทำให้เครดิตเรตติ้งของประเทศลดลงจนทำให้มีต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากเป็นการโยกเงินมาสู่กองทุนมั่งคั่ง เงินยังอยู่แต่เพียงเปลี่ยนการบริหารเท่านั้น
“คุณจะให้บาทอ่อนไหมล่ะ ถ้าจะทำให้บาทอ่อนก็ต้องลดทุนสำรองของแบงก์ชาติลง เรื่องนี้ผมพูดมานานแล้ว แต่แบงก์ชาติก็ยังคงตีกรอบไว้เดิมๆ การโยกเงินมาตั้งกองทุนมั่งคั่ง จะช่วยให้บาทอ่อนทันที และไม่ทำให้เครดิตประเทศลดลง”
@ เสนอรัฐแก้เกมศก.
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผย “ทันหุ้น” เชื่อว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่ากลับมาสู่ระดับที่ 33-33.50 บาทได้ แม้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี เนื่องจากมองว่าการส่งออกของไทยครึ่งปีหลังจะลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่มีการเร่งส่งออกจากความกังวลภาษีทรัมป์ จนทำให้ส่งออกโต 14% ดังนั้นด้วยการที่ส่งออกจากหดตัวลงในครึ่งหลัง และทั้งปีจะโตแค่ 2% ทำให้ความต้องการเงินบาทอ่อนแอลง สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แม้ค่าเงินค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะไม่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับผู้ส่งออก แต่ในทางตรงกันข้าม การแข็งค่าของเงินบาททำให้ ต้นทุนการนำเข้า (เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์ หรือน้ำมัน) ถูกลงในรูปของเงินบาท
นอกจากนี้ยังได้เสนอแนะรัฐบาลใหม่ให้ดำเนินนโยบายทั้งใน ระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจและรับมือกับความท้าทายต่างๆ โดยมองว่าระยะสั้น โครงการ “คนละครึ่ง” จะช่วยเศรษฐกิจได้บ้างแต่อาจจะไม่มาก เพราะใช้งบประมาณเพียง 25,000 ล้านบาท แต่มีผลดีในด้านการ กระจายเม็ดเงินไปยังพ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก ส่วนระยะยาวรัฐบาล 4 เดือนสามารถปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุน เช่น ระบบน้ำที่ดี หรือไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วย กระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยข้อมูลระบุว่าที่ผ่านมางบลงทุนออกช้าและอัตราการเบิกจ่ายน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นเทรนด์โลก ซึ่งไทยกำลังกลายเป็นฐานการผลิตสินค้าที่เป็นเทรนด์ของโลก ทั้ง อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์สมัยใหม่ ดาต้าเซ็นเตอร์ เทคโนโลยีชีวภาพ
@ แนะธุรกิจเสริมแกร่งตัวเอง
นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา หรือ ITD เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า ปัญหาเรื่องภาษี และค่าเงินเกิดขึ้นคล้ายกันในหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งหมายความว่าทุกธุรกิจกำลังอยู่ภายใต้กติกาเดียวกันในการแข่งขัน ดังนั้นผู้ส่งออกควรที่จะใช้โอกาสนี้ รีสตาร์ตตัวเองกลับไปทบทวนการดำเนินงานหลังบ้านของธุรกิจอย่างละเอียด และมองหาวิธีลดต้นทุน โดยยังคงรักษาคุณภาพของสินค้าหรือบริการไว้ และใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลช่วยในลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่ง ITD พร้อมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการมีแพลตฟอร์มให้คำปรึกษา และการแนะนำให้ขยายตลาดไปยังประเทศคู่ค้าระดับกลาง ตลอดจนการสร้างการรวมกลุ่มในภูมิภาค
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
