ชีวิตติดแกลม! คนผ่อน-จำนำแบรนด์เนม "แบรนด์เนมมันนี่" ปีเดียว 100 ล. l การตลาดเงินล้าน

คุณปพน มนัสภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อและขายฝากแบรนด์เนม กระเป๋า นาฬิกา และจิวเวลรี แบรนด์เนม เผยว่า นับตั้งแต่จัดตั้งธุรกิจ เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 จนถึงสิ้นปี หรือ 6 เดือนแรก บริษัทฯ ได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว มูลค่าราว 100 ล้านบาท
จาก 3 ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ประกอบด้วย สินเชื่อขายฝาก (หรือ จำนำ) มูลค่ากว่า 80 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อ หรือผ่อนไป ใช้ไป มูลค่า 15 ล้านบาท และสินเชื่อแบบ ผ่อนจบ รับของ มูลค่า 4-5 ล้านบาท โดยสินเชื่อขายฝาก เป็นการให้บริการขายฝากนาฬิกา กระเป๋า และ จิวเวลรี แบรนด์เนม ซึ่งคุณปพน บอกว่า แบรนด์เนม ไม่ใช่แค่ทรัพย์สิน แต่ยังเป็นโอกาสให้ผู้คนสามารถใช้สินทรัพย์ที่มีคุณค่าเหล่านี้ในการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน โดยไม่ต้องสูญเสียของรักไป
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า สินเชื่อขายฝากเป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากในตอนนี้ สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว และมีความต้องการใช้เงินสด ลูกค้าจึงนำทรัพย์สินแบรนด์เนมของตนเองมาแปลงเป็นเงินสดเพื่อให้มีสภาพคล่องทางการเงิน แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี เชื่อว่าธุรกิจสินเชื่อแบรนด์เนมจะยังเติบโตได้ และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมีความต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนมมากขึ้น และความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อซื้อแบรนด์เนมก็จะมีมากขึ้น
สอดรับกับอีก 2 บริการ คือ ผ่อนไป ใช้ไป จะเป็นเหมือนกับสินเชื่อเช่าซื้อ โดยลูกค้าดาวน์ร้อยละ 30 ก่อน จากนั้นผ่อนต่อกับทางบริษัทฯ สูงสุดนาน 24 เดือน และ สินเชื่อแบบ ผ่อนจบ รับของ จะเป็นลักษณะที่ลูกค้าต้องการซื้อสินค้าจากร้านค้า แต่อาจยังไม่พร้อมชำระเงินในช่วงเวลานั้น ๆ ทันที ก็มาใช้บริการผ่อนกับทางบริษัทฯ ก่อน ระยะเวลาสูงสุด 10 เดือน โดยสินค้านั้น บริษัทฯ จะเป็นผู้เก็บไว้ และเมื่อผ่อนครบ ก็สามารถรับของไปได้ทันที
ส่วนสินค้ายอดนิยมที่ลูกค้านำมาใช้บริการสินเชื่อกับบริษัทฯ อันดับ 1 คือ กระเป๋า ถัดมาคือ นาฬิกา ซึ่งหากมองในแง่มูลค่า นาฬิกาจะมีมูลค่าสูงกว่า และสุดท้าย คือ จิวเวลรี แบรนด์หรู
จากข้อมูลของ RTG Group Asia (อาร์ทีจี กรุ๊ป เอเชีย) พบว่าตลาดซื้อขายสินค้าแบรนด์เนม หรือ แบรนด์หรู ของไทยนั้น มีมูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาท ส่วนมูลค่าในตลาดมือสอง อยู่ที่ราว 40,000 ล้านบาท รวมกันแล้วก็กว่า 200,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 5-8 ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน แซงหน้าสิงคโปร์ ไปแล้ว
ผู้ก่อตั้ง บริษัท แบรนด์เนม มันนี่ บอกด้วยว่า การเติบโตดังกล่าว ของตลาดหรูในไทย ทำให้ตนเองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาเริ่มต้นในธุรกิจนี้ และเชื่อว่าทิศทางการเติบโตจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพราะคนรุ่นใหม่นิยมใช้สินค้าแบรนด์เนมกันมากขึ้น คือเป็นการให้รางวัลกับตัวเอง และสร้างคุณค่าทางจิตใจ ทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่แสดงถึงความมีรสนิยม ขณะที่บางส่วน ก็มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ทั้งกระเป๋า นาฬิกา รวมถึง จิวเวลรี่
และจะเห็นได้ว่าแบรนด์หรูระดับโลก ต่างก็ให้ดารา นักร้องและไอดอลคนไทยเป็นพรีเซนเตอร์และแบรนด์แอมบาสเดอร์กันมากขึ้น รวมทั้งเข้ามาเปิดช็อปในไทยกันเพิ่มมากขึ้นด้วย
ส่วนทิศทางของบริษัทฯ จากนี้จะขยายร้านค้าพันธมิตรให้มากขึ้น จากปัจจุบันมีพันธมิตร ที่เป็นร้านขายสินค้าแบรนด์เนม อยู่แล้วมากกว่า 40 ร้าน (ส่วนใหญ่เป็นร้านขายต่อ แบรนด์เนม มือหนึ่ง และแบรนด์เนม มือสอง) และจะใช้งบการตลาดอีกราว 20 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ธุรกิจของบริษัทฯ ให้มากขึ้น
สำหรับเป้าหมายปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีมูลค่าพอร์ตสินเชื่อจบที่ 300 ล้านบาท และเป้าหมายภายใน 3 ปี หรือปี 2571 พอร์ตสินเชื่อจะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท