จากหนุ่มโรงงาน ทนายสิทธิ สู่นักปฏิรูป รู้จัก ‘อี แจ-มย็อง’ ปธน.เกาหลีใต้คนใหม่

เกาหลีใต้เผชิญมรสุมการเมืองภายในมากว่าครึ่งปี ตั้งแต่การประกาศกฎอัยการศึก การประท้วงขับไล่ประธานาธิบดี มาสู่การถอดถอนผู้นำจากตำแหน่ง เมื่อวานนี้ (3 มิถุนายน 68) เกาหลีใต้ได้จัดเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมาแทนยุน ซ็อก-ย็อล ซึ่งในที่สุด ก็ได้ ‘อี แจ-มย็อง’ จากพรรคประชาธิปไตยมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 14 แล้ว
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ อี แจ-มย็องเอาชนะความยากลำบากมากมาย ตั้งแต่การเกิดในครอบครัวยากจน เติบโตมากับสภาพแวดล้อมของโรงงาน กลายมาเป็นทนายความสิทธิมนุษยชน ก่อนจะเข้ามาในสนามการเมือง แพ้เลือกตั้งให้ยุน ซ็อก-ย็อล และแม้ก่อนลงเลือกตั้งเอง เขาก็ยังเกี่ยวข้องกับคดีคอร์รัปชั่น ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้
เด็กหนุ่มยากจน ที่ต้องทำงานโรงงาน แทนการไปโรงเรียน
อี แจ-มย็อง เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปี 1963 ในยุคของรัฐบาลทหาร พัค จุงฮี แม้ว่าบ้านเกิดของเขาคือหมู่บ้านในอันดง จังหวัดคยองซังเหนือ แต่เพราะสถานะทางบ้านที่ยากจนมาก ทำให้ครอบครัวย้ายไปที่ซองนัม ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรม และเขตโรงงาน ที่รัฐบาลย้ายประชาชนยากจนส่วนใหญ่ให้ไปเป็นแรงงาน และครอบครัวของอีก็เป็นหนึ่งในนั้น
อีจบเพียงชั้นประถม และเพราะบ้านยากจน เขาต้องเริ่มทำงานโรงงานในซองนัมที่มีรายได้เพียง 200 วอนต่อวัน (ประมาณ 5 บาท) เขามักพบอุบัติเหตุในการทำงาน จนทำให้มือ และนิ้วมีบาดแผลมากมาย ร้ายแรงที่สุดคือการโดนเครื่องจักรบดขยี้ที่ข้อมือ และไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จนเกิดความพิการถาวรที่บริเวณแขน ซึ่งทำให้อีจัดว่าเป็นคนพิการ และได้รับการยกเว้นการรับราชการทหาร
ระหว่างอยู่ในโรงงาน เขามักเห็นกลุ่มวัยรุ่นนักเรียนทำให้เขาเองก็มีความหวังอยากจะเรียนหนังสือบ้าง จึงได้ลงทะเบียนสอบเทียบ และผ่านชั้นมัธยมต้น และมัธยมปลายในที่สุด ก่อนจะได้รับทุนการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย มหาวิทยาลัยชุงอัง
จากประสบการณ์งานโรงงาน ที่ไร้สิทธิแรงงาน และการจราจลล้อมปราบในกวางจูในช่วงที่เขาเป็นวัยรุ่น ได้หล่อหลอมให้เขาเลือกเส้นทางอาชีพอย่างทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เพื่อความยุติธรรม และคนด้อยโอกาส เขากลายเป็นทนายที่มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว จากการทำคดีท้าทายการทุจริตในท้องถิ่น สนับสนุนประโยชน์ของสาธารณะ และนั่นก็ทำให้เขาเริ่มมองเส้นทางงานการเมือง เพราะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง ต้องใช้อำนาจทางการเมือง
ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง จากนายกเทศมนตรี สู่ประธานาธิบดี
‘อี แจ-มย็อง’ เข้าสู่พรรคอูรี (พรรคซึ่งภายหลังเปลี่ยนมาเป็นพรรคประชาธิปไตยในปัจจุบัน)ในปี 2005 และลงชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองซองนัมในปี 2006 แต่ก็พ่ายแพ้ในศึกครั้งแรก ก่อนจะรับตำแหน่งรองโฆษกพรรคในปี 2007 ซึ่งเป็นบทบาทที่มักจะมอบให้กับนักการเมืองมือใหม่ที่ยังไม่ได้ชนะตําแหน่งสาธารณะ และในตอนนั้น เขามักถูกมองว่าเป็นคนนอก และไม่มีใครจำเขาได้มากนัก
ก่อนที่ในปี 2010 นักการเมืองหน้าใหม่คนนี้ จะได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองซองนัม ซึ่งริเริ่มนโยบายด้านสวัสดิการของประชาชน เช่น ชุดนักเรียนฟรี เงินปันผลของเยาวชน ที่จ่ายเงินประจําปี 1 ล้านวอนให้กับคนหนุ่มสาวอายุ 19-24 ปี และการดูแลผู้หญิงหลังคลอด ไปถึงการกำหนดรายได้พื้นฐานสากล
นโยบายเหล่านี้ทำให้เขาได้รับความสนใจระดับประเทศ และได้รับความนิยมในหมู่ประชาชน ซึ่งอีที่ได้รับการเลือกตั้งถึง 2 สมัยที่ซองนัมก็ได้ประกาศว่า จะทําให้ซองนัมเป็น "เมืองแห่งสวัสดิการฟรี" แต่มีการวิเคราะห์ว่า ด้วยสไตล์ที่ตรงไปตรงมา รวมถึงประเด็นการเรียกร้องของเขา ทำให้มีการมองว่าเขาสร้างความแตกแยก
ในการเลือกตั้งครั้งน้ีอีก็ได้ประกาศจุดยืน และการต่อสู้ของเขาเช่นกัน โดยเขาพูดในการหาเสียงว่า "คุณรู้ไหมว่าทําไมพวกเขาถึงกลัว อีแจมยอง นั่นเป็นเพราะฉันมาจากชายขอบ ฉันทําให้พวกผู้ประกอบการไม่สบายใจ"
ครั้งแรกของความพยายามสู่เส้นทางประธานาธิบดีของอี เกิดขึ้นในปี 2017 แต่เขาไม่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรค ซึ่งในตอนนั้น ตัวแทนคือ มุน แจอิน แต่ในปี 2018 เขาก็ได้รับชนะจากการเลือกตั้ง และก้าวสู่ระดับที่ใหญ่ขึ้น คือผู้ว่าการจังหวัดคยองกี ซึ่งเป็นเขตเทศบาลที่มีประชากรมากที่สุด โดยมีประชากร 13 ล้านคน และในช่วงนี้เขาก็เป็นที่รู้จักอีกครั้งผ่านการผลักดันข้อจำกัดที่เข้มงวดระหว่างการระบาดของ โควิด-19
ในปีการเลือกตั้งปี 2022 เขาได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ก็ห่างชัยชนะเพียงแค่เอื้อมมือ เพราะพ่ายแพ้ให้กับยุน ซ็อก-ย็อลไปแค่ 0.73% เท่านั้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายค้านในยุคของยุน
สุดท้ายเขาก็ได้รับชัยชนะ และก้าวสู่จุดสูงสุดของการเมือง กับการได้รับชัยชนะ และเป็นผู้นำเกาหลีใต้ ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ อี แจ-มย็อง ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 49.42% เอาชนะคิม มูน-ซู คู่แข่งของพรรคพลังประชาชน ที่เป็นอนุรักษ์นิยม ซึ่งได้รับ 41.15% ก้าวเป็นประธานาธิบดีคนที่ 14 ของประเทศเกาหลีใต้
ปีนรั้วเขาสภา โดนแทงคอ และคดีคอร์รัปชั่นที่กำลังเผชิญ
นอกจากบทบาททางการเมือง และนโยบายที่โด่งดัง อี ยังมีวีรกรรม และเหตุการณ์ที่ทำให้เป็นที่จดจำ รวมไปถึงคดีความที่กำลังเผชิญ จนทำให้เกือบไม่ได้ลงแข่งเป็นประธานาธิบดีด้วย
หนึ่งในนั้น คือการโดนลอบทำร้าย ระหว่างการเยือนปูซาน และพูดคุยกับผู้สื่อข่าว ซึ่งอยู่ๆ ได้มีชายคนหนึ่งหยิบมีดเข้ามาแทงที่คอของเขา ก่อนที่ผู้อยู่ในเหตุการร์จะรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลเพื่อหยุดเลือด ส่งตัวเขาไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติปูซาน และเร่งบินมารับการผ่าตัดในโซล ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ทำให้อี กลายเป็นเหยื่อ และผู้รอดชีวิตที่ยิ่งสร้างความนิยมให้กับเขาด้วย
ในเหตุการณ์การประกาศกฎอัยการศึกของยุน ซ็อก-ย็อล เมื่อปลายปี 2024 อีก็เป็นหนึ่งคนที่โดดเด่น และได้รับเสียงชื่นชม จากการไลฟ์ติดตามสถานการณ์ และปีนข้ามรั้วรัฐสภา ผ่าวงทหาร เพื่อเข้าไปโหวตยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งภาพระหว่างการปีนของอี ถือเป็นบันทึกเหตุการณ์สำคัญ และยิ่งทำให้เขาได้รับความนิยมมากขึ้นอีกเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เกือบไม่ได้ลงสมัครเลือกตั้ง เพราะปัญหาคดีส่วนตัวที่เผชิญ ซึ่งสุดท้ายไม่กระทบ และถูกตัดสิทธิ แต่เขาก็ยังถูกกล่าวหาในคดีอาญาถึง 5 คดีในข้อหาทุจริตและข้อหาอื่นๆ ซึ่งตอนนี้ กระบวนการทางกฎหมายถูกระงับไว้ชั่วคราว จากเอกสิทธิ์ของประธานาธิบดี แต่คดีเหล่านี้จะกลับมาดำเนินการต่อหลังจากวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีของเขาสิ้นสุดลงในปี 2030
ซึ่งเขาจะพิสูจน์ตัวเอง และกลายเป็นประธานาธิบดีที่พาเกาหลีผ่านความวุ่นวาย และไม่เจอกับจุดจบที่เร็วร้ายเหมือน อดีตประธานาธิบดีคนอื่นๆ ในอดีตหรือไม่ เราคงต้องติดตามผลงานของเขากัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
