รีเซต

ถึงเวลา"บิตคอยน์"ลดความร้อนแรงแล้วหรือยัง?

ถึงเวลา"บิตคอยน์"ลดความร้อนแรงแล้วหรือยัง?
TNN ช่อง16
20 มกราคม 2564 ( 11:36 )
122

        ถ้าใครติดตามความเคลื่อนไหวของ "บิตคอยน์" จะเห็นได้ว่าราคาค่อยๆพุ่งขึ้นมาตั้งแต่ช่วยปลายปีที่ผ่านมา และร้อนแรงยิ่งขึ้นในช่วงต้นปี โดยวันที่ 3 ม.ค. 2564 มูลค่าของ ‘บิตคอยน์’ ในไทยขยับแตะ 1,000,000 บาทเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ และทำสถิติใหม่ไปเมื่อ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ราคา 41,962 ดอลลาร์ หรือมากกว่า 1.2 ล้านบาท  แต่หลังจากนั้นราคาก็เริ่มร่วงลงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมูลค่าตลาดของ Cryptocurrencies สูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ นำโดย Bitcoin ประมาณ 70% รองมาคือ Ethereum อยู่ที่ 13% และ Tether อยู่ที่ 3%  

        โดยราคาที่ร้อนแรงยิ่งทำให้ตลาด Cryptocurrencies ได้รับความน่าสนใจมากขึ้น นักลงทุนหันมาต่อขบวนลงทุนในบิตคอยน์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยที่พุ่งตัวเข้าสู่ตลาดบิตคอยน์  ซึ่ง "บิทคับ"ก็เป็นแพลตฟอร์มอันดับต้นๆที่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน และดันให้การเติบโตของบริษัทพุ่งขึ้นกว่า 1,000% ภายในเวลาเพียง 7 วัน หลังจากวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา


cr:Pixabay 
        ก่อนหน้านี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ "บิทคับ" ได้เคยให้ข้อมูลกับ TNN ONLINE ว่า  จากสถิติการเกิดเหตุการณ์  Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี  โดยที่ราคาจะลดลงครึ่งหนึ่งก่อนจะมีการกลับมาทำราคาได้อีกครั้งนั้น ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นไปแล้วประมาณวันที่ 12 พ.ค.2563 ตามสถิติ หลังจากเกิด Bitcoin Halving ต่อจากนั้น 6 เดือนถึง 1 ปี ราคามีโอกาสพุ่งขึ้นได้อีกเรื่อยๆ และอาจจะมีโอกาสได้เห็นราคาบิตคอยน์พุ่งทะยานขึ้นไปแตะ 1 ล้านบาทในปี 2564 ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะราคาได้ผ่านนิวไฮที่ 1.2 ล้านบาทมาแล้ว 


cr:bitkub.com

        และจากการที่นักลงทุนแห่เข้าสมัครสมาชิกเพื่อทำการซื้อขายบิตคอยน์ เป็นจำนวนมากจึงส่งผลให้ระบบของ"บิทคับ" เกิดขัดข้อง และทำให้บริษัทจำเป็นต้องปิดระบบเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไข จนมีลูกค้าบางรายแสดงความไม่พอใจเป็นจำนวนมากเพราะเกรงว่าเงินจะสูญ  แต่ทางบริษัทก็ได้มีการอัปเดตความคืบหน้าต่างๆให้สมาชิกได้รับทราบผ่าน เฟซบุ๊กแฟนเพจเรื่อยๆ รวมทั้งยังได้จัดตั้งกองทุนพิเศษ 100 ล้านบาท "Bitcub Customer Protection Fund" ขึ้นมาเพื่อดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจริง  


cr:FB Bitkub.com

        ยิ่งกลายเป็นกระแสเข้าอีก สำหรับวงการบิตคอยน์ นั่นก็คือ การที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกประกาศในช่วงกลางดึกของวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้บริษัท "บิทคับ" ส่งแผนการแก้ไขให้ ก.ล.ต. และดำเนินการแก้ไขระบบงานที่เป็นประเด็นปัญหาให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลา 5 วัน เพื่อคุ้มครองนักลงทุน 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

         ราคาที่พุ่งขึ้นช่วงก่อนหน้านั้น ทำเอาตลาดคึกคัก สาเหตุก็มาจากความคาดหวังเชิงบวกที่บริษัทขนาดใหญ่ในต่างประเทศมีแผนจะเข้าลงทุนในบิตคอยน์ รวมถึงความคาดหวังเกี่ยวกับการเข้าบริหารเศรษฐกิจของ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่จะอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจราว 3 ล้านล้านดอลลาร์นั้นทำให้ราคาบิตคอยน์ถูกเก็งกำไรไปจนสูง จนกระทั่งเริ่มปรับฐานลงมา โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาของบิตคอยน์ปรับตัวลงกว่า 100,000 บาท จากสุดสัปดาห์ก่อนที่ 1,264,000 บาท มาอยู่ที่ 1,104,431 บาท หรือปรับตัวลงกว่า 12.62% 

           แม้ราคาบิตคอยน์จะมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อเนื่อง ตามกลไกของบิตคอยน์หลังเกิด Halving  แม้ว่าจะปรับลงแต่ก็ยังถือว่าราคายังแพงมาก โดยนายจิรายุส คาดว่า "ราคาบิตคอยน์จะปรับร่วงลงจริงๆช่วงกลางปีนี้ แม้ว่าราคาจะร่วงลงซึ่งเป็นปกติของวัฏจักรบิตคอยน์ หลัง Bitcoin Halving ราคาก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ราคาบิตคอยน์ก็จะเพิ่มขึ้น อาจจะแตะ 1,000 ล้านเลยก็ได้ "


cr:Pixabay

            ความเคลื่อนไหวของบรรดานักลงทุน ทำให้นักเศรษฐศาสตร์มองว่า เหตุการณ์นี้เป็นการแห่เข้าไปซื้อ หรือพฤติกรรม Herding Behavior  ซึ่งพฤติกรรมนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะขาขึ้นเพียงอย่างเดียว อาจเกิดการวิ่งแห่ซื้อตามกันหรือตระหนกตกใจเทขายพร้อมกันก็เป็นได้เช่นกัน โดยผศ.ดร.วรประภา  นาควัชระ ผู้ช่วยอธิการบดี และ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า Herding Behavior นี้ได้ส่งผลไปยังสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆด้วย หากดูราคา Ethereum, Stellar, Litecoin สกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้เคยมีประวัติวิ่งขึ้นในช่วงปลายปี 2560 พร้อม Bitcoin และร่วงลงมาพร้อมกันในปี 2561  ดังนั้น การเข้าไปซื้อ Cryptocurrencies จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง และไม่แนะนำสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะมีความผันผวนสูง และควรตระหนักเสมอ ว่าเงินที่ลงทุนอาจสูญไปทั้งหมดได้ในพริบตา 

        การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง ก่อนคิดจะลงทุนควรศึกษาคู๋มือการลงทุนให้ละเอียด และทดสอบความสามารถ ความเข้าใจหรือความถนัดในการลงทุนของตัวเองก่อนจะเป็นการดีที่สุด เพราะการลงทุนไม่ได้มีแค่ "กำไร" แต่ยังมีคำว่า "ขาดทุน" หรือ "ติดดอย"อยู่ด้วย 

ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ

เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง