ศาลจังหวัดกันทรลักษณ์ พิพากษายกฟ้อง 2 โจ๋ โดนตร.จับไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากบ้าน
ศาลจังหวัดกันทรลักษณ์ พิพากษายกฟ้อง 2 โจ๋ โดนตร.จับไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากบ้าน ชี้กฎหมายไม่ให้อำนาจเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
ยกฟ้อง – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดกันทรลักษณ์ มีคำพิพากษายกฟ้องนายสุรวัตน์ อายุ 18 ปี และนายอภิสิทธิ์ อายุ 18 ปี ทั้ง 2 คนเป็นชาวอ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในความผิดข้อหากระทำการหรือดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไปโดยการไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ก่อนออกจากเคหสถาน หรือเดินทางไปในสถานที่สาธารณะหรือสถานที่ใดๆ
สำหรับเหตุการณ์นี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ตำรวจ สภ.เบญจลักษ์ใต้ จ.ศรีสะเกษ จับกุมวัยรุ่นทั้ง 2 คน ขณะขี่รถจักรยานยนต์ โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าและไม่สวมหมวกกันน็อก
จากการสอบสวนให้การรับสารภาพ จึงแจ้งข้อหา โดยในส่วนของความผิดพ.ร.บ.จราจร ได้เปรียบเทียบปรับแล้ว และมีความเห็นควรสั่งฟ้องในความผิดกระทำการหรือดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไปโดยการไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ก่อนออกจากเคหสถาน หรือเดินทางไปในสถานที่สาธารณะหรือสถานที่ใดๆ ซึ่งเป็นความผิดตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ โดยมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ก่อนพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง
ต่อมาวันที่ 15 เม.ย. ศาลจังหวัดกันทรลักษณ์ มีคำพิพากษายกฟ้องในความผิดดังกล่าว โดยเห็นว่าความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคนั้น พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มาตรา 34 (6) กำหนดแต่เพียงว่า ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการใดๆ ซึ่งก่อให้เกิดภาวะไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตราย หรือโรคระบาดแพร่ออกไป โดยไม่ได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ออกคำสั่งกำหนดการกระทำการเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าว
ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 บัญญัติให้บุคคลจะต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายนี้ใช้ในการกระทำความผิดและกำหนดโทษไว้ เมื่อการไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากเคหสถานไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามและกำหนดโทษไว้ ประกอบกับลำพังเพียงแต่การไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากเคหสถาน โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นประกอบ ไม่น่าจะเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้อง