รีเซต

สุขภาพดีไม่มีขาย? แต่คนจ่ายเงินเพื่อออกกำลังกายมากขึ้น โยคะ-พิลาทิส มาแรง ดันธุรกิจ "ฟิตเนส" โตแกร่ง

สุขภาพดีไม่มีขาย? แต่คนจ่ายเงินเพื่อออกกำลังกายมากขึ้น โยคะ-พิลาทิส มาแรง ดันธุรกิจ "ฟิตเนส" โตแกร่ง
TNN ช่อง16
19 สิงหาคม 2568 ( 08:00 )
15

คนไทยออกกำลังกายมากขึ้น = ลงทุนเพื่อสุขภาพ


สุขภาพดีไม่มีขายจริงหรือไม่?  เพราะหลายคนบอกว่าจ่ายไปเยอะ เพื่อดูแลตัวเอง โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบคนยุคใหม่ ที่นิยมไปฟิตเนส และตอนนี้ธุรกิจฟิตเนสในบ้านเรากำลังทำเงินได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะคนกรุงเทพที่กำลังฮิตโยคะ และพิลาทิส ที่คาดว่าจะช่วยดันให้ตลาดพุ่งทะลุไปถึง 12,000 ล้านบาทในปีนี้  


เทรนด์สุขภาพยังคงมาแรงทำเงินได้  โดยเฉพาะเทรนด์การออกกำลังกายในร่ม ในฟิตเนส ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย หรือ Kreserch  รายงานว่าเทรนด์ออกกำลังกายของคนไทยกำลังงข่วยดันให้รายได้ของธุรกิจฟิตเนสในปีนี้ (2025) โตพุ่งไปถึง 18% และคาดว่ามูลค่าตลาดจะทะลุไปถึง 12,000 ล้านบาท


ขณะที่ผลสำรวจของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าคนไทยมีแนวโน้มออกกำลังกายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกปี และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ไปแล้ว  โดยกลุ่มหลักๆ ที่ให้ความสนใจเรื่องนี้ คือ คนอายุที่มากกว่า 15 ปี ที่พบว่ามากถึง 44.4% ของคนกลุ่มนี้มีการออกกำลังกายมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ และต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที  เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยเมื่อปี 2023 อยู่ที่ระดับ 42.2% และเมื่อปี 2022   อยู่ที่ 40.4%


สาเหตุสำคัญที่คนหันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น คือ ความกังวลปัญหาสุขภาพ  สอดรับกับข้อมูลที่บ่งชี้ว่าปัจจุบันนี้ มากกว่า 76% ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศไทยมาจากโรค NCDs (non-communicable diseases) หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต 


"ฟิตเนส" กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตอันดับหนึ่ง เป็นที่ออกกำลังกายยอดนิยมของคนไทย จากการผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคปี 2025 ระบุว่าคนส่วนใหญ่มากถึง 60.2% เลือกใช้บริการฟิตเนส และมากกว่านั้น คือ ผู้คนยังมองว่าฟิตเนสไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนกับพื้นที่ทางสังคมหรือคอมมูนิตี้ที่จัดสรรรวมพื้นที่ในการดูแลสุขภาพ และเป็นพื้นที่พบปะกันอีกด้วย


ดังนั้นฟิตเนสจึงขึ้นแท่นกลายเป็นธุรกิจทำเงินที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง รายได้ของฟิตเนสในเมืองไทยเติบโตได้อย่างน่าสนใจ โตต่อเนื่องตามเทรนด์และไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากผ่านการล็อกดาวน์ในช่วงยุคโควิด19  พบว่ารายได้ของธุรกิจฟิตเนสในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าการเกิดโรคระบาดก็นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่กระตุ้นให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการออกกำลังกายมากขึ้น จนเรียกได้ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ 


แต่อย่างไรก็ตามเทรนด์ของฟิตเนสอาจจะยังไปไปทั่วถึงทุกจังหวัด รายได้ส่วนใหญ่ในตลาดยังคงกระจุกตัวโตแกร่งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวง นั่นคือกรุงเทพฯ คิดแล้วเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของรายได้รวมทั้งประเทศ สาเหตุเพราะการใช้บริการฟิตเนสมักมีค่าใช้จ่ายสูง และกรุงเทพฯ ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูง และตอบโจทย์ความสะดวกในการเดินทางและข้อจำกัดด้านพื้นที่ 



ธุรกิจ "ฟิตเนส" มาแรง แต่ก็แข่งขันสูง

 

จากทิศทางที่สดใสและความแข็งแกร่งดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ในปีนี้ 2025 คาดว่ารายได้ของธุรกิจฟิตเนสจะโตถึง 18% มูลค่าจะทะลุไปถึง 12,000 ล้านบาท โดยวัดจากจำนวน นิติบุคคลจัดตั้งใหม่ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ตั้งแต่มกราคม–พฤษภาคม มีการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ในกรุงเทพฯ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจฟิตเนสจำนวน 41 บริษัท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 31 บริษัท และบริษัทหน้าใหม่เหล่านี้เกินครึ่ง หรือ 56% ให้บริการโยคะ หรือ พิลาทิส


โยคะ และพิลาทิส กำลังมาแรงที่สุดในยุคนี้  ตามกระแสออกกำลังกายที่เน้นการเสริมสร้างความแข็งแรง ปรับบุคลิกภาพ และฟื้นฟูร่างกาย สอดคล้องกับข้อมูลจากการกีฬาแห่งประเทศไทยปี 2021 ซึ่งเก็บจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 48.59 ล้านคน พบว่า พิลาทิสเป็นกิจกรรมที่ผู้คนคาดหวังจะออกกำลังกายมากเป็นอันดับ 3 (29.3%) รองจากฮูลาฮูปและเวทเทรนนิ่ง สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดจากฟิตเนสแบบดั้งเดิมสู่การออกกำลังกายแบบเฉพาะทางที่อยู่ในกระแสมากขึ้น


แม้จะมาแรงแค่ไหนก็ยังมีความเสี่ยง ศูนย์วิจัยกสิรไทยได้เตือนถึงความเสี่ยงของธุรกิจฟิตเนส ไว้ 3 ประเด็นด้วยกัน คือ 


1. การแข่งขันที่รุนแรงและการเปลี่ยนแปลงเทรนด์อย่างรวดเร็ว

   ฟิตเนสขนาดเล็กแบบเฉพาะทาง (เช่น พิลาทิสสตูดิโอ) กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้น ผู้ประกอบการต้องพร้อมปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วในยุคโซเชียลมีเดีย


2. เทรนด์แอปออกกำลังกายและคอนเทนต์ฟรีออนไลน์

   เทรนเนอร์ออนไลน์และคอนเทนต์ฟรีบน YouTube / TikTok กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค หากฟิตเนสไม่มีเทคโนโลยีหรือบริการเสริมที่ดึงดูดเพียงพอ อาจถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น


3. ต้นทุนคงที่สูงและการพึ่งพาลูกค้าประจำ

   ค่าเช่าสถานที่ ค่าจ้างเทรนเนอร์ และค่าอุปกรณ์เป็นต้นทุนคงที่หลัก ทำให้ธุรกิจต้องพยายามรักษาและเพิ่มสมาชิกอย่างต่อเนื่องเพื่อความอยู่รอด

ไทยมาแรงติดอันดับโลก "Wellness Economy"


Wellness Economy หรือเศรษฐกิจสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ของประเทศไทยวันนี้ ติดอันดับโลก ด้วยมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้าน และมีแนวโน้มโตเฉลี่ย 7-10% ต่อปี อ้างอิงจากข้อมูลของสถาบัน Global Wellness และ BDMS Wellness Clinic ที่ศึกษาโอกาสของประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจเวลเนส  


ปี 2566 อุตสาหกรรม Wellness ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตปีละ 7.3% ไปแตะที่ระดับ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2571


ภาพรวมอุตสาหกรรม Wellness ในประเทศไทย พบว่า Wellness Economy ของไทย ในปี 2566 มูลค่ารวมเศรษฐกิจสุขภาพไทยมีมากกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ติดอันดับที่ 24 ของโลก และอันดับที่ 9 ในเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้มูลค่าเศรษฐกิจเวลเนส ในปี 2566 คิดเป็น 7.87% ของ GDP ประเทศไทย


ภาคส่วนสำคัญของ Wellness Economy ไทย มาจากรายได้หลายทาง โดยมี 8 กลุ่มสำคัญ คือ 


การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ                                          415,000    ล้านบาท

อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ                              308,900    ล้านบาท

ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงาม                          242,000    ล้านบาท

การแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก                     118,000    ล้านบาท

ฟิตเนสและกิจกรรมทางกาย                                      113,400    ล้านบาท

เวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล              91,500     ล้านบาท

สปา                                                                        53,840     ล้านบาท

สุขภาพจิต (Mental Wellness)                                 22,500     ล้านบาท

อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate) 17,800     ล้านบาท

Wellness ในสถานที่ทำงาน                                      3,700     ล้านบาท

บ่อน้ำพุร้อนและน้ำแร่                                                673        ล้านบาท



1.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) มูลค่าตลาดปี 2566 มากกว่าสี่แสนล้านบาท คิดเป็น 30% ของตลาด Wellness ไทย  แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวในประเทศ 8.08 ล้านคน ใช้จ่ายเฉลี่ย 12,340 บาท ต่อทริป และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.40 ล้านคน ใช้จ่ายเฉลี่ย 58,000 บาท ต่อทริป


2 ธุรกิจสปา โรงแรมและรีสอร์ทสปาคิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมด มีจำนวนสปาในไทยอยู่ที่ 2,865 แห่ง


3.ฟิตเนสและกิจกรรมทางกายต่างๆ  มีอุปกรณ์และเสื้อผ้ากีฬาเป็นตลาดหลัก คิดเป็น 74.5% ของรายได้


4.อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ มีทั้ง อาหารเพื่อสุขภาพ วิตามินและอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก 


5.สุขภาพจิต (Mental Wellness) รายได้จากผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจิต เช่น สมุนไพรบำรุงสมอง, โยคะ, การทำสมาธิ การนอนหลับ เติบโตอย่างรวดเร็ว


6.เวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล การตรวจสุขภาพเชิงป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล (Preventive Medicine, Precision Medicine and Genetic Testing) มีแนวโน้มเติบโตสูง


7.การแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มียาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีสัดส่วนรายได้สูงสุด


8.อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate) มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง พบการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงการที่อยู่อาศัยเชิงสุขภาพ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง