เลื่อน 'เงินหมื่นเฟส 3' เพราะอะไร? แล้วจะได้เมื่อไหร่?

เบรกกลางคัน ท่ามกลางความคาดหวังของคนรุ่นใหม่
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ใครหลายคนอาจเคยคิดว่านโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ท 10,000 บาท ของรัฐบาล จะเดินหน้าได้แบบไม่มีอะไรมาหยุด โดยเฉพาะเฟส 3 ที่ตั้งเป้าแจกให้กับคนวัย 16 ถึง 20 ปี กลุ่มเยาวชนที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตทางเศรษฐกิจเป็นของตัวเอง แต่จู่ๆ กลางเดือนพฤษภาคม แผนนี้ก็ถูกเบรกอย่างไม่ทันตั้งตัว
ประชุมใหญ่คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธาน สรุปชัดว่า “เฟส 3 ต้องทบทวน” โดยไม่ได้บอกว่าเลื่อนถึงเมื่อไหร่ หรือจะกลับมาอีกหรือไม่ เพียงยืนยันสั้นๆ ว่า “ไม่ใช่เพราะเงินไม่พอ”
คำถามคือ ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน แล้วเพราะอะไร?
งบกลางแสนล้าน เปลี่ยนเป้าหมายใหม่
คำตอบเริ่มกระจ่างเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ออกมาอธิบายภายหลังการประชุมว่า รัฐบาลกำลังคิดใหม่ ทำใหม่ กับการใช้งบกลาง 157,000 ล้านบาท เดิมทีงบส่วนนี้ถูกกันไว้เพื่อใช้กับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนทิศไปใช้กับเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่เร่งด่วนกว่า
ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการน้ำ การแก้ปัญหาการคมนาคม โครงข่ายรางคู่ รถไฟฟ้า ไปจนถึงแผนยกระดับการศึกษาและการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่
ทั้งหมดนี้คือการตัดสินใจที่มีเสียงหนุนจากทั้งสภาพัฒน์ฯ และแบงก์ชาติ ที่อยากเห็นการใช้งบอย่างรอบคอบ และมีผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่าการแจกเงินในระยะสั้น
เงื่อนไขยังเหมือนเดิม แต่ไม่มีใครตอบได้ว่าจะได้เมื่อไหร่
สำหรับเฟส 3 ที่ถูกชะลอไว้ กลุ่มเป้าหมายยังเหมือนเดิม คือเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 16-20 ปี ที่มีรายได้น้อย ไม่เคยได้รับสิทธิวอลเล็ทมาก่อน และต้องผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้เกณฑ์ยังไม่เปลี่ยน แต่กรอบเวลาที่เคยบอกกันว่าจะใช้จ่ายได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ก็กลายเป็นแค่กำหนดการณ์เดิมที่ไม่มีใครยืนยันว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
เบื้องหลังคำว่า “ทบทวน” ที่มากกว่างบไม่พอ
แม้รัฐบาลจะย้ำว่าไม่ได้ขาดเงิน และไม่มีแผนกู้เพิ่ม 5 แสนล้านบาทในเร็วๆ นี้ แต่ความเคลื่อนไหวในการเลื่อนโครงการวอลเล็ทเฟส 3 ก็บอกเป็นนัยว่า การบริหารงบประมาณครั้งนี้กำลังเผชิญโจทย์ใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม
เมื่อกฎการคลังเริ่มรัดตัวมากขึ้น รัฐต้องเลือกว่าจะแจกเงินเพื่อกระตุ้นทันที หรือจะใช้เงินก้อนนี้เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว นี่จึงเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์มากกว่านโยบายเฉพาะหน้า
ประชาชนต้องรอ และอาจไม่ได้รับคำตอบเร็วๆ นี้
การที่รัฐบาลไม่ระบุกรอบเวลาใหม่ให้ชัดเจน ทำให้กลุ่มที่รอรับเงินหมื่นต้องกลับไปนั่งรอโดยไม่มีความแน่นอน บางคนที่หวังจะเอาเงินไปใช้กับเรื่องจำเป็นก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ หรือถ้าได้ จะได้เมื่อไหร่
แต่สิ่งที่ชัดเจนตอนนี้คือ เฟส 3 ไม่ได้อยู่ในลำดับความสำคัญเร่งด่วนของรัฐอีกต่อไป และอาจต้องรอจังหวะเศรษฐกิจหรือแรงส่งทางการเมืองรอบใหม่ จึงจะถูกหยิบกลับขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง
บทเรียนจากการชะลอเงินหมื่น
การเลื่อนเงินหมื่นเฟส 3 ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันหมายถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ที่ต้องเลือกระหว่างความนิยมระยะสั้น กับความยั่งยืนระยะยาว
สิ่งที่ประชาชนทำได้ตอนนี้ อาจมีเพียงการจับตาว่า งบแสนล้านที่ถูกเบนไปใช้ในโครงการอื่น จะมีผลกับชีวิตของพวกเขาอย่างไร และสุดท้ายแล้ว รัฐบาลจะยังกลับมาแจกเงินหมื่นอีกครั้งหรือไม่
เพราะในทางปฏิบัติ สิ่งที่ทุกคนรอ คือ “คำตอบ” ที่มากกว่าแค่คำว่า “ทบทวน”