‘บล.กสิกรไทย’ ประเมินบาทแข็งต่อเนื่อง กดดัน ‘ธปท.’ ต้องหั่นดอกเบี้ยลงในไตรมาสแรกปี 64
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นนั้น ทำให้คาดว่าในไตรมาส 1/2564 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาที่ 0.25% เพื่อประดับประคองเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงอ่อนแอลง เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวยังทรุดหนัก ซึ่งถือเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยในช่วงช่วงต้นปี 2564 เนื่องจากยังไม่มีการเปิดประเทศเป็นปกติ บวกกับความเชื่อมั่นธุรกิจยังต่ำ เพราะการระบาดของไวรัสทั่วโลก และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ที่กดดันความเชื่อมั่นของการลงทุน
“ตัวช่วยในส่วนของมาตรการพักชำระหนี้ จะหมดอายุลงในช่วงสิ้นปี 2564 ส่งผลให้ภาคธุรกิจขาดปัจจัยสนับสนุนสภาพคล่อง จึงคาดว่าภาครัฐจะต้องมีนโยบายช่วยเหลือนส่วนของสภาพคล่องออกมาเพิ่มเติม” นายกวี กล่าว
นายกวี กล่าวว่า แม้ธปท. จะลดดอกเบี้ยลง แต่คาดว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะยังไหลเข้าไทย และเป็นแรงสนับสนุนค่าเงินบาทให้แข็งค่าต่อเนื่อง เพราะแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและเอเชีย รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ทำให้การที่อัตราดอกเบี้ยของไทย ยังสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจหลัก และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (ดอกเบี้ยลบเงินเฟ้อ) ของไทยสูงกว่าประเทศในเอเชียส่วนใหญ รวมถึงการดึงเงินกลับมาไทย หลังมาตรการพักชำระหนี้ที่จะหมดลง จากความต้องการเสริมสภาพคล่องของธุรกิจ จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 29.80-30.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณการดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทของธปท. ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 15-16 ธันวาคมนี้ และกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย และสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ