รีเซต

รีไฟแนนซ์บ้าน ธอส. 2565 ทำอย่างไร ให้ยื่นสินเชื่อผ่าน-อนุมัติเร็ว

รีไฟแนนซ์บ้าน ธอส. 2565 ทำอย่างไร ให้ยื่นสินเชื่อผ่าน-อนุมัติเร็ว
TNN ช่อง16
20 กรกฎาคม 2565 ( 14:04 )
423

การขอ สินเชื่อ รีไฟแนนซ์บ้าน เป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยลดภาระการผ่อนบ้านให้สบายกระเป๋ามากขึ้น  โดยการให้สถาบันการเงินทำให้อัตรา ดอกเบี้ย ลดลง จากการย้ายสินเชื่อบ้านไปยังสถาบันการเงินใหม่ และยังทำให้การผ่อนบ้านหมดได้ไวขึ้นอีกด้วย เมื่อเราจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงก็จะช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างอื่นได้ง่ายขึ้น เพราะสินเชื่อบ้านถือเป็นหนี้ก้อนใหญ่ใช้เวลาผ่อนชำระนานมากกว่า 10 ปี 


รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร?

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักการ รีไฟแนนซ์บ้าน กันก่อน โดยวิธีนี้เป็นการทำเรื่องขอกู้เงินกับสถาบันการเงินใหม่ เพื่อนำเงินก้อนนั้นไปไถ่ถอนจำนองบ้านจากสถาบันการเงินเดิม ซึ่งการขอรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินใหม่จะทำให้ผู้ขอสินเชื่อได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง การผ่อนชำระค่าบ้านต่อเดือนจึงประหยัดเงินได้มากขึ้น

เนื่องจากการขอสินเชื่อบ้านกับสถาบันการเงินในช่วงปีแรกๆ มักจะมีโปรโมชันที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูก แต่เมื่อผ่อนเกินช่วง 3 ปีแรกแล้ว อัตราดอกเบี้ยจะลอยตัวสูงขึ้นตาม MRR ที่ทางธนาคารกำหนด

โดยหลังจากปีที่ 3 ไปแล้ว หากไม่มีการขอรีไฟแนนซ์ จะทำให้ยอดหนี้คงเหลือลดช้าลง แม้ว่าจะชำระค่าบ้านเท่าเดิมทุกเดือน เพราะต้องนำยอดไปหักในส่วนดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น และยังทำให้ระยะเวลาในการชำระหนี้ยาวนานขึ้นด้วย


เปรียบเทียบรีไฟแนนซ์และไม่รีไฟแนนซ์บ้าน ต่างกันแค่ไหน?

ยกตัวอย่างว่า ขอ สินเชื่อบ้าน จากธนาคาร วงเงิน 3.5 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี เมื่อไม่มีการขอ รีไฟแนนซ์บ้าน อาจต้องชำระดอกเบี้ยรวมตลอดอายุสัญญาสูงถึง 4 ล้าน รวมค่าผ่อนบ้านทั้งสิ้นอาจสูงถึง 7.5 ล้านบาท และต้องผ่อนยาวสูงสุดถึง 30 ปี

แต่ถ้ามีการขอรีไฟแนนซ์บ้าน วงเงินที่เหลือหลังจากการผ่อนไปแล้ว 3 ปี แรกจากธนาคารแรก เมื่อไปขอสินเชื่อกับธนาคารใหม่ จะนำยอดที่เหลือมาคำนวณกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ ทำให้ยอดรวมของเงินต้นกับดอกเบี้ยลดลง 

โดยดอกเบี้ยรวมอาจเหลือเพียง 2.2 ล้านบาท ทำให้เงินต้นรวมกับอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาใหม่ อาจลดเหลือเพียง 5.5 ล้านบาท และยังลดระยะเวลาผ่อนให้เลือกเพียง 25 ปีเท่านั้น


การรีไฟแนนซ์บ้านดีต่อผู้ขอสินเชื่ออย่างไรบ้าง?

  • ข้อแรกคือ ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง การรีไฟแนนซ์ไปยังสถาบันการเงินใหม่ จะนำเอายอดค้างชำระที่เหลือจากธนาคารเดิม มาคำนวณกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลง ช่วยให้จำนวนเงินผ่อนชำระถูกนำไปหักดอกเบี้ยลดลงและนำไปหักเงินต้นได้มากขึ้น 
  • และข้อสองคือ สามารถเลือกยืดระยะเวลาในการผ่อนได้ การขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ สามารถขอเพิ่มระยะเวลาในการผ่อนชำระเพิ่มได้ ซึ่งเมื่อจำนวนงวดเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยให้ยอดผ่อนบ้านต่องวดถูกลง ช่วยให้ผู้ผ่อนบ้านสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้มากขึ้น

    การขอรีไฟแนนซ์บ้านต้องพิจารณาอะไรบ้าง?

  • 1. ดอกเบี้ย

    สิ่งที่สำคัญสำหรับการกู้ ไม่ว่าจะเป็นการกู้อะไรก็ตาม การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำคือ อันดับแรก โดยดอกเบี้ยสำหรับการรีไฟแนนซ์จะต้องต่ำกว่าเดิม  โดยบางครั้งดอกเบี้ยแบบ MRR (Minimum Retail Rate) หรือดอกเบี้ยลอยตัว มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นดอกเบี้ยแบบคงที่ได้ ซึ่งจะทำให้สามารถจ่ายเงินได้ในอัตราที่น้อยลงกว่าเดิมในระยะยาว เพราะดอกเบี้ยประเภทนี้จะไม่ได้รับผลกระทบหากเกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ภายในประเทศ

    2. ระยะเวลาการผ่อน

    ระบบรีไฟแนนซ์จะเข้ามาช่วยจะทำให้เราสามารถยืดเวลาการผ่อนชำระหนี้เดิมออกไปได้นานขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ประจำหรือมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ พร้อมทั้งทำให้ค่างวดที่ต้องชำระต่อเดือนถูกลง ยิ่งทำให้สามารถควบคุมการใช้เงินได้ดีกว่าเดิมด้วย 


เอกสารที่ต้องใช้รีไฟแนนซ์บ้าน


1. เอกสารประจำตัวบุคคล
  • -สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • -สำเนาทะเบียนบ้าน
  • -สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนคู่สมรส (ถ้ามี)
  • -สำเนาทะเบียนบ้านคู่สมรส (ถ้ามี)
2. เอกสารทางการเงิน
  • สำหรับบุคคลที่มีรายได้ประจำ (มีเงินเดือน)
  • -สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน
  • -หนังสือรับรองการทำงาน
  • -สำเนารับรองการหักภาษี (50 ทวิ)
  • สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว
  • -สำเนารับรองการจดทะเบียนการค้า
  • -สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น
  • -สำเนารายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
  • -สำเนาแบบแสดงภาษีซื้อขาย ภ.พ.30
3. เอกสารหลักประกันการรีไฟแนนซ์บ้าน
  • -สำเนาโฉนดที่ดิน หนังสือกรรมสิทธิ์ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องที่บ่งชี้ถึงหลักประกัน
  • -สำเนาสัญญาการซื้อขายหรือให้ที่ดิน ทด.13 หรือ 14 หรือสัญญาซื้อขายห้องชุด
  • -สำเนาสัญญากู้จากธนาคารเดิม
  • -สำเนาสัญญาจำนองที่ดิน
  • -สำเนาใบเสร็จแสดงธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบ้าน


*กรณีมีผู้กู้ร่วม หรือมีการเปลี่ยนชื่อสกุล ต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น เอกสารประจำตัวบุคคลและใบเปลี่ยนชื่อเตรียมมาเช่นกัน และสำหรับใครที่กู้ซื้อบ้านครั้งแรกสามารถอ่านรายละเอียดเอกสารเพิ่มเติมได้ที่ กู้บ้านผ่านฉลุย เมื่อเตรียมเอกสารกู้บ้านพร้อม


การเตรียมตัวสำหรับการยื่นรีไฟแนนซ์บ้านกับ ธอส.

ในการรีไฟแนนซ์บ้านมีสิ่งที่ต้องเตรียมตัวไม่ต่างจากการขอสินเชื่อบ้านธรรมดา เช่น เตรียมความพร้อมของเครดิต ไม่มีหนี้ค้างชำระมากเกินไป เอกสารการเงินต่างๆ ซึ่งถ้าหากเคยขอสินเชื่อบ้านผ่านมาแล้ว การขอรีไฟแนนซ์บ้านก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้จะขอรีไฟแนนซ์บ้านต้องสำรวจก่อนก็คือ สัญญากู้เดิมถึงกำหนดเวลาที่สามารถรีไฟแนนซ์ได้แล้วหรือยัง ซึ่งโดยทั่วไปธนาคารจะให้รีไฟแนนซ์ได้เมื่อชำระหนี้ครบ 3 – 5 ปี 

นอกจากนี้ ควรจะสอบถามธนาคารเดิมถึงค่าปรับยกเลิกสัญญากู้สินเชื่ออื่นๆ ด้วย เมื่อแน่ใจแล้วว่าสามารถขอรีไฟแนนซ์ได้โดยไม่โดนปรับ ก็ปรึกษาธนาคารแห่งใหม่เพื่อเตรียมเอกสารยื่นรีไฟแนนซ์ในขั้นต่อไป 


โดยการ ขอรีไฟแนนซ์บ้าน ธอส. สามารถเลือกได้ว่าต้องการอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อแบบใด เช่น ดอกเบี้ยต่ำใน 3 – 5 ปีแรก หรือดอกเบี้ยต่ำคงที่ระยะยาวเพื่อผ่อนชำระแบบสบายๆ ซึ่งธนาคารแนะนำว่า ในช่วงแรกที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ คือช่วงที่ผู้ผ่อนชำระสามารถลงเงินตัดยอดเงินต้นหรือ“โปะ”หนี้ได้มาก เพราะดอกเบี้ยยังต่ำอยู่ทำให้สัดส่วนที่ตัดเงินต้นมีมากกว่า และถ้ายิ่งตัดเงินต้นได้มากๆ ในช่วงนี้ ระยะเวลาในการผ่อนชำระก็จะลดลงได้มากอีก ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยตลอดสัญญาลดลงด้วยเช่นกัน


ภาพประกอบ: AFP


วิธีรีไฟแนนซ์บ้านทำอย่างไร

ถ้าหากเป็นคนที่มีรายได้ประจำ หรือมนุษย์เงินเดือนแล้วการรีไฟแนนซ์บ้านนั้นสามารถทำได้ง่ายมาก หากเอกสารทั้งหมดพร้อมแล้วสามารถขอดำเนินการได้เลย คือ 

  1. 1. ตรวจสอบสัญญาเดิม

    ทั้งรายละเอียดสัญญา เงินผ่อนที่เหลือ อัตราส่วนดอกเบี้ยและระยะเวลาเพื่อทำให้เรามั่นใจว่าการรีไฟแนนซ์ในครั้งนี้จะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแน่นอน
  2. 2. เลือกธนาคารใหม่

    อ้างอิงจากปัจจัยหลักสองข้อคือดอกเบี้ยและระยะเวลาการผ่อน หากคำนวณดูแล้วมีความคุ้มค่ามากกว่าจริง ให้เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องได้เลย
  3. 3. เตรียมเอกสาร

     รายชื่อเอกสารสามารถอ้างอิงได้จากการเตรียมเอกสารการรีไฟแนนซ์ข้างต้น
  4. 4. ยื่นขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารที่ต้องการ

     หากเอกสารมีความพร้อม การดำเนินการทั้งหมดจะดำเนินการได้ในเวลาไม่นาน
  5. 5. ทำสัญญากับธนาคาร

    แต่จะต้องไม่ลืมที่จะดูรายละเอียดสัญญาใหม่ให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง


การขอรีไฟฟแนนซ์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินใดก็ตาม สิ่งที่จะต้องพิจารณานั่นคือความคุ้มค่า ภาระค่าใช้จ่ายต้องบรรเทาลง มีสภาพคล่องเงินในกระเป๋าต้องมีมากขึ้น หากรีไฟแนนซ์แล้วค่าใช้จ่ายหรือดอกเบี้ยยังเท่าเดิม แนะนำให้หาธนาคารที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด การขอสินเชื่อจึงจะได้ประสิทธิภาพ



ข้อมูลอ้างอิง : ธอส. ,แสนสิริ  

ภาพจาก : เว็บไซต์ ธอส. , TNN ONLINE

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง