สรุปโควิด Omicron ระบาดโลก นานาชาติแห่ตัดขาดจากแอฟริกา
ทั่วโลกขวัญผวา หลังองค์การอนามัยโลก หรือ WHO เพิ่งประกาศในการประชุมนัดพิเศษเมื่อวานนี้ (26 พฤศจิกายน) ยกระดับโควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “B.1.1.529” ให้เป็น “สายพันธุ์ที่น่าวิตก” และตั้งชื่อสามัญให้ว่า “โอไมครอน” (Omicron)
WHO ระบุในแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า ทาง WHO เพิ่งได้รับรายงานการพบเชื้อโควิดกลายพันธุ์ B.1.1.259 หรือ Omicron เป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ (24 พฤศจิกายน) รายงานโดยประเทศแอฟริกาใต้ และผู้ติดเชื้อ Omicron ที่ยืนยันเป็นรายแรก มาจากตัวอย่างที่เก็บมาตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
สิ่งที่ทำให้ Omicron น่ากังวลคือ ถูกนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า เป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่ “ร้ายที่สุด” ในโลก พบการกลายพันธุ์มากที่สุดถึง 32 ตำแหน่ง ทำให้อาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ได้มาจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด
ทำให้ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อต่างเตือนว่า Omicron อาจส่งผลด้อยประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิดทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน
---สรุปการระบาดของ Omicron---
สถานการณ์ระบาดของ Omicron ล่าสุด ตรวจพบในประเทศในทวีปแอฟริกา 2 ประเทศ คือแอฟริกาใต้ และบ็อตสวาน่า ในยุโรป 1 ประเทศคือเบลเยี่ยม ในตะวันออกกลาง 1 ประเทศคืออิสราเอล และเอเชีย 1 ประเทศคือ ฮ่องกง โดยในฮ่องกงและอิสราเอลพบจากนักเดินทางที่เพิ่งเดินทางไปจากทวีปแอฟริกา
โดยแอฟริกาใต้สถานการณ์หนักที่สุดในขณะนี้ พบผู้ติดเชื้อ Omicron แล้วเกือบทั่วทุกจังหวัด รวมแล้วกว่า 100 คน
---นานาชาติเริ่มปิดพรมแดนจากแอฟริกา---
ประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งโลก เร่งออกมาตรการเข้มสกัด Omicron แต่เนิ่น ๆ ในทันที โดยส่วนใหญ่ห้ามการเดินทางมาจาก 6-8 ประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา คือ แอฟริกาใต้ บ็อตสวาน่า เอสวาตินี่ เลโซโธ โมซัมบิก นามิเมีย ซิมบับเว และมาลาวี
สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกในโลก ที่ออกมาตรการห้ามการเดินทางเข้าสหราชอาณาจักรจากกลุ่มประเทศที่อยู่ตอนใต้ของทวีปแอฟริกา 6 ประเทศ
สหรัฐฯ ห้ามการเดินทางจากประเทศในทวีปแอฟริกามากที่สุด ทั้งหมด 8 ประเทศตามรายชื่อข้างต้น ส่วนแคนาดาห้ามการเดินทางจาก 7 ประเทศแอฟริกา
สหภาพยุโรป หรือ EU ประเทศสมาชิกทุกประเทศตกลงจะเริ่มห้ามการเดินทางเข้าประเทศ EU ทั้งหมด ที่มาจาก 7 ประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา คือ แอฟริกาใต้ บ็อตสวาน่า เอสวาตินี่ เลโซโธ โมซัมบิก นามิเบีย และซิมบับเว เริ่มตั้งแต่วันนี้ (27 พฤศจิกายน)
ด้าน เออร์ซูล่า ฟอน แดร์ เลเยิ่น ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่า EU จะเริ่มใช้มาตรการที่เรียกว่า “เบรกฉุกเฉิน” มาใช้ทันที เพื่อสกัดการเดินทางโดยเครื่องบินที่มาจากกลุ่มประเทศทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาในทันที เพื่อสกัดหรือชะลอไม่ให้กลายพันธุ์ตัวใหม่ Omicron เข้าถึงยุโรปได้
ด้านเบลเยี่ยม ซึ่งกลายเป็นประเทศแรกในยุโรปที่พบผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์ Omicron เป็นรายแรก ประกาศห้ามการเดินทางเข้าเบลเยี่ยมจากกลุ่มประเทศทางใต้ของทวีปแอฟริกา และชาวเบลเยี่ยมที่เดินทางกลับจากประเทศแอฟริกาใต้ หรือประเทศเพื่อนบ้านแอฟริกาใต้ จะต้องถูกกักตัว 10 วันเมื่อกลับถึงเบลเยี่ยม
เยอรมนีประกาศเมื่อวานนี้ (26 พฤศจิกายน) ให้ประเทศแอฟริกาใต้ เป็น “เขตไวรัสโควิดกลายพันธุ์” ส่งผลให้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้เป็นต้นไป ห้ามคนที่ไม่ใช่ชาวเยอรมนี หรือมีถิ่นพำนักถาวรในเยอรมนี เดินทางจากแอฟริกาใต้ เข้าไปในเยอรมนี ส่วนผู้โดยสารที่เป็นชาวเยอรมันและผู้มีถิ่นพำนักถาวร ที่เดินทางกลับมาจากแอฟริกาใต้ จะต้องกักตัว 14 วัน
ด้านอิสราเอล ซึ่งพบผู้ติดเชื้อ Omicron เป็นรายแรกของตะวันออกกลาง เป็นชาวอิสราเอลที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศมาลาวีในแอฟริกา ทางการอิสราเอลประกาศห้ามการเดินทางเข้ามาจาก 7 ประเทศแอฟริกาทันที กลุ่มประเทศเดียวกับที่ยุโรปแบน และประกาศให้ทั้ง 7 ประเทศแอฟริกาเป็น “กลุ่มประเทศสีแดง”
จอร์แดนประกาศห้ามการเดินทางเข้าจอร์แดนตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (28 พฤศจิกายน) เป็นต้นไป สำหรับคนที่มีประวัติการเดินทางไปยัง 7 ประเทศแอฟริกา
ทางฝั่งเอเชีย ญี่ปุ่นประกาศว่าผู้ที่เดินทางมาจาก 6 ประเทศแอฟริกา คือแอฟริกาใต้ บ็อตสวาน่า เลโซโธ เอสวาตินี่ นามิเบีย และซิมบับเว จะต้องถูกกักตัว 10 วันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
มาเลเซียประกาศห้ามการเดินทางเข้ามาของ 7 ประเทศแอฟริกาและห้ามพลเมืองของตนเดินทางไปด้วย ส่วนพลเมืองมาเลเซียเองที่เดินทางกลับมาจาก 7 ประเทศดังกล่าว จะต้องถูกกักตัวทันทีที่กลับมาถึงมาเลเซีย
ฟิลิปปินส์ห้ามคนที่เพิ่งเดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้ บ็อตสวาน่า นามิเบีย และประเทศเพื่อนบ้านของทั้ง 3 ประเทศ ในช่วง 14 วันหลังสุด ไม่ให้เข้าฟิลิปปินส์ มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ทันทีจนถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้
ส่วนที่ลาตินอเมริกา บราซิลห้ามเที่ยวบินพาณิชย์และบุคคลเดินทางระหว่างบราซิลกับ 6 ประเทศแอฟริการวมแอฟริกาใต้ บ็อตสวาน่า นามิเบีย และซิมบับเว และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคนต้องแสดงหลักฐานว่าฉีดวัคซีนต้านโควิดครบแล้ว
—————
แปล-เรียบเรียง: เสานีย์ พิสิฐานุสรณ์
ภาพ: Juan BARRETO / AFP