เงินบาทเช้านี้ 26 พ.ค. 2568 เปิดตลาด “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.57 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิด “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.15-32.95 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.70 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.45-32.64 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อดอลลาร์
ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซนแนวต้านระยะสั้น 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้
อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าของตลาดเอเชีย แม้ว่าเงินดอลลาร์ยังคงทรงตัว แต่ราคาทองคำกลับเผชิญแรงขายทำกำไรเพิ่มเติม กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงเข้าใกล้ระดับช่วงราว 17.00 น. ของวันศุกร์ก่อนหน้า ตามเวลาประเทศไทย
ซึ่งการปรับตัวลงของราคาทองคำดังกล่าว กอปรกับแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนแถวโซนแนวรับสำคัญของเงินบาท ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง
สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะออกมาดีกว่าคาด จนผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่เกิน 2 ครั้ง ในปีนี้ แต่ธีม “Sell US Assets” จากความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ยังคงกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงราว -2%
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐฯ และรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) เดือนเมษายน รายงานดัชนีภาคการผลิตของบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Dallas Fed และ Richmond Fed)
ในเดือนพฤษาภาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ที่อาจปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนรวมถึง รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2025 และอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนเมษายน ซึ่งอาจยังไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ มากนัก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมทั้ง รอติดตามรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell เพื่อประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ในปี 2025 และเฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 2 ครั้ง ในปี 2026
(โอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปี 2026 อยู่ที่ราว 33%) นอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า
ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของยูโรโซน
อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนพฤษภาคม รวมถึงอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ในช่วง 1 ปี และ 3 ปี ข้างหน้า พร้อมกับรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ด้วยเช่นกัน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB มีโอกาสราว 34% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปีนี้
ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ซึ่งอาจสะท้อนผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน พร้อมรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนพฤษภาคมเพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 76% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง +25bps ในปีนี้ ในส่วนนโยบายการเงินนั้น
บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) และธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 2.50% และ 3.25% ตามลำดับ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) ของไทยในเดือนเมษายน อาจโตกว่า +12%y/y ตามอานิสงส์การเร่งนำเข้าสินค้าไทยก่อนเผชิญนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) อาจขยายตัวราว +7%y/y อย่างไรก็ดี ยอดการส่งออกของไทยที่ขยายตัวได้โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา กลับไม่ได้สะท้อนว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวได้ดีเช่นกัน โดยปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรัง
กอปรกับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากจีน จะยังคงทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน หดตัวถึง -3.5%y/y ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) อาจอยู่แถวระดับ 63% ไม่ต่างจากเดือนก่อนนัก
แนวโน้มของค่าเงินบาท
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่ามีกำลังมากขึ้น สวนทางกับที่เราได้ประเมินไว้ก่อนหน้า ทั้งนี้ ช่วงต้นสัปดาห์ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทว่าเงินบาทก็เสี่ยงเผชิญ Two-Way Volatility ขึ้นกับทิศทางของราคาทองคำและบรรดาสกุลเงินเอเชีย ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูง
ส่วนแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มกลับมาได้ หากเงินบาทไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน จนกว่าตลาดจะกลับมาเชื่อมั่นในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
