รีเซต

เงินบาทแข็งโป๊ก! เกิดจากสาเหตุอะไร ใครได้-เสียประโยชน์?

เงินบาทแข็งโป๊ก! เกิดจากสาเหตุอะไร ใครได้-เสียประโยชน์?
TNN ช่อง16
27 ธันวาคม 2568 ( 14:25 )

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่หลายฝ่ายจับตามอง หลังค่าเงินบาทแข็ง เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมาแตะระดับ 31.06บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  ทุบสถิติใหม่ในรอบ 4 ปี 9 เดือน  นับจากมี.ค. 64 อยู่ที่ระดับ 31.06 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ร้อนถึงกระทรวงการคลัง ธปท. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  ได้ออกมาตรการสกัดเงินบาทแข็งค่า  หลังจากพบว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งคือการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์  

โดยในช่วงเวลาราคาทองคำปรับสูงขึ้น นักลงทุนในประเทศจะขายทองคำออนไลน์เพื่อทำกำไรและบางช่วงเวลามีปริมาณการซื้อขายสูงในระดับที่ใกล้เคียงกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนไหวต่อราคาทองคำเกินกว่าที่ควรจะเป็น

ทั้งนี้จึงได้ออก  3 มาตรการเชิงรุก เพื่อรับมือกับสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าที่มีสาเหตุหลักมาจากปริมาณธุรกรรมทองคำออนไลน์ที่สูงผิดปกติ ประกอบด้วย

1. การกำหนดให้แพลตฟอร์มทองคำรายงานข้อมูลธุรกรรม: กรมสรรพากรจะกำหนดแนวทางให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องรายงานและนำส่งข้อมูลธุรกรรมให้แก่กรมสรรพากร มาตรการนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับการส่งข้อมูลของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ในปัจจุบัน เพื่อให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลที่ชัดเจนในการตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย

2. การศึกษาการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ: กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการทำธุรกรรมทองคำแท่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มที่ซื้อขายเพื่อการเก็งกำไรโดยไม่มีการรับมอบทองคำจริง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการชะลอความร้อนแรงของธุรกรรมที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท

3. การกำกับดูแลปริมาณธุรกรรมและวงเงิน: ธนาคารแห่งประเทศไทยจะดำเนินการกำกับดูแลปริมาณการทำธุรกรรมทองคำให้มีความเหมาะสม เช่น การกำหนดเพดานวงเงินในการซื้อขายทองคำในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดย ธปท. จะขอแก้ไขประกาศกระทรวงการคลังเพื่อให้มีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลและกำกับดูแลกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่มีพฤติกรรมการเทรดสูงผิดปกติ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการขายดอลลาร์และทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยจะดูแลไม่ให้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนหรือประชาชนรายย่อยที่ใช้ทองคำเป็นช่องทางในการออม

ขณะที่ผู้ว่าธปท. “วิทัย รัตนากร”  ได้ลงนามในประกาศวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับลูกค้า โดยกำหนดให้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ที่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ต้องรายงานวัตถุประสงค์ และแสดงเอกสารหลักฐาน หากมีการนำเงินเข้าประเทศเกินกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.68

นอกจากนี้เงินบาทที่แข็งค่ายังมาจาก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และดุลการค้าหรือดุลบัญชีเดินสะพัดที่เป็นบวกมากกว่าคาด กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Flow) ทั้งการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้  รวมถึงการแทรกแซงของธนาคารกลาง (Intervention) ซึ่งในปัจจุบัน ธปท. สามารถทำได้เพียงเพื่อลดความผันผวนเท่านั้น ไม่สามารถแทรกแซงเพื่อกำหนดทิศทางราคาได้ เนื่องจากข้อตกลงที่ลงนามไว้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อ 10 ปีก่อน

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 69 จะแข็งค่าต่อเนื่องหรือไม่ ผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าควรรับมืออย่างไร และหุ้นกลุ่มไหนได้รับประโยชน์ และเสียประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ

เริ่มจาก “พูน พานิชพิบูลย์” นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่า ในปี 69 เงินดอลลาร์มีโอกาสทยอยอ่อนค่าลง  แต่เกิดขึ้นเพียงช่วงครึ่งแรกของปี หลังตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดเตรียมเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% สู่ระดับ 3.00-3.25% ก่อนที่เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในช่วงครึ่งหลัง จากอานิสงส์ของการลดดอกเบี้ยและการลงทุนต่อเนื่องในธีม AI (AI-related Capital Expenditure)

แต่เงินดอลลาร์ก็เสี่ยงเผชิญความผันผวนและอาจอ่อนค่าลงได้ ในช่วงครึ่งหลัง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ ที่จะมีการเลือกตั้ง Midterm และความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลังครบกำหนดมาตรการภาษีนำเข้าเป็นระยะเวลา 1 ปี 

ส่วนเงินบาท (USDTHB) ยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวรับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ได้ไม่ยาก ในช่วงไตรมาสแรกของปี 69 จากอานิสงส์ของการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ หลังเฟดยังมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25% ประกอบกับแรงซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งใหญ่ของไทย และช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวทำให้บาทแข็ง

ทั้งนี้ หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับสำคัญ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ได้นั้น   ผู้เล่นในตลาดควรเริ่มประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอตัวลงและมีแนวโน้มพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ในระยะข้างหน้า โดยจากการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของเงินบาท (Fair Value) จากโมเดล Behavioral Equilibrium Exchange Rate (BEER) ที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเทียบกับฝั่งสหรัฐฯ และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาท (USDTHB) และดัชนีเงินบาทที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate REER) เราพบว่า Fair Value ของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33-34 บาทต่อดอลลาร์ (เฉลี่ยจากโมเดลของเราและของทาง Bloomberg Economics และ Fair Value ของ REER) ทำให้เงินบาทที่ระดับต่ำกว่า 30.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  ถือว่าเป็นระดับที่ Extremely Overvalued หรือเงินบาทแข็งค่าเกินไปมากอย่างมีนัยสำคัญ

 ซึ่งเงินบาทจะมีแนวโน้มพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ ในระยะ 3 เดือน และ 6 เดือน ข้างหน้า ทำให้มองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทดังกล่าว หากเกิดขึ้นจริงจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์หรือเตรียมป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่เงินบาทอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 (สอดคล้องกับการประเมินความเป็นไปได้ของระดับการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า หากสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 30.75 บาทต่อดอลลาร์ ได้ และยังสอดคล้องกับการประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่มีโอกาสเกิด 75% โดยอ้างอิงจากตลาด Options ซึ่งคำนวณโดยทาง Bloomberg)

 


นอกจากนี้ ในช่วงระยะสั้นขอย้ำว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่  

ขณะเดียวกัน หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)

ส่วนในช่วงกลางปี 69 เป็นต้นไปนั้น เงินบาทจะเสี่ยงอ่อนค่าลง ทดสอบโซน 33  บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง หากการเมืองไทยเผชิญความวุ่นวาย หลังการเลือกตั้ง กอปรกับในช่วงไตรมาส 2 ก็จะเป็นช่วงฤดูการจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้ง ราคาทองคำที่เคยช่วยหนุนเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ก็เสี่ยงย่อตัวลงบ้าง ตามภาวะการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโลก 

ทั้งนี้เงินบาทก็พอจะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงปลายปี หลังสถานการณ์การเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้น ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดทอนผลกระทบจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ทำให้ เงินบาทอาจจบสิ้นปีหน้าแถว 32.00+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ และที่สำคัญ เราคงมุมมองเดิมว่า พฤติกรรมของเงินบาทได้เปลี่ยนแปลงไปพอสมควรจากอดีต โดยเงินบาทได้กลายเป็นสกุลเงินที่มีความผันผวนสูงขึ้นจากอดีตอย่างมีนัยสำคัญ (เดิมอาจมีความผันผวนประมาณ 4%-5% ต่อปี แต่ปัจจุบัน ความผันผวนระดับ 7% ขึ้นไปอาจเป็นเรื่องปกติของเงินบาท)  

ดังนั้น ผู้เล่นในตลาดควรประยุกต์ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากลายมากขึ้น เช่น Options รวมถึง สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าขายระหว่างประเทศเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน 

ส่วนแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายต่างชาติในปี 69 นั้น มองว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ในฝั่งเอเชียมากขึ้น ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ 

โดยในช่วงครึ่งหลัง อาจต้องรอติดตามว่า เศรษฐกิจฝั่งเอเชียจะสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เพราะหากเศรษฐกิจเอเชียยังขยายตัวได้ดี ก็อาจพอดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ แม้ว่าโดยรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 69  เงินดอลลาร์มีแนวโน้มทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการกลับมาของธีม US Exceptionalism ทำให้ในภาพรวม ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจเดินหน้าเข้าตลาดการเงินเอเชีย ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า แต่ต้องระวังว่า ในช่วงครึ่งหลัง ฟันด์โฟลว์อาจผันผวนสูงขึ้นและเสี่ยงที่จะเห็นแรงขายสินทรัพย์ฝั่งเอเชียได้บ้าง

 

ฝั่ง “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ มองว่า เงินบาทในปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 32.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงต้นปีทิศทางเงินบาทยังแข็งค่า เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาล ทองคำทำนิวไฮ และดอลลาร์อ่อนค่า ประกอบกับไฮซีซั่นท่องเที่ยวปลายปีต่อเนื่องไปต้นปีทำให้นักต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยต่อเนื่อง สำหรับเศรษฐกิจปีหน้าคาดว่าโต 1.6% ลดลง จากปีนี้โต 2% เพราะการส่งออกและท่องเที่ยวที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจแผ่ว ซึ่งปีหน้าส่งออกติดลบ 2.5% ปีนี้โต 10%

 โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า เป็นธุรกิจที่ลงทุนในต่างประเทศ มีหนี้ต่างประเทศ รวมถึงนำเข้าสินค้าต่างประเทศมีต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง เช่น โรงไฟฟ้า พลังงาน และปิโตรเคมี ตลอดจนบริษัทฯ ที่นำเข้ามือถือ สินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จากต่างประเทศ เช่น COM 7 ADVANC  นำเข้าวัสดุก่อสร้าง เช่น TOA  และนำเข้าถั่วเหลือง เช่น TVO เป็นต้น ส่วนหุ้นที่เสียประโยชน์จะเป็น หุ้นส่งออกทั้งหมด เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เกษตรและท่องเที่ยว เป็นต้น 

ปิดท้าย “ธนาคารกรุงศรีอยุธยา” ระบุว่า จากข้อมูลสถิติการเคลื่อนไหวสกุลเงินในภูมิภาคตั้งแต่ ม.ค.- 25 ธ.ค.พบว่า ริงกิต-มาเลเซียแข็งค่า 10.5% บาทไทยแข็งค่า 9.7% ดอลลาร์-สิงคโปร์แข็งค่า 6.4% ดอลลาร์-ไต้หวันแข็งค่า 4.2% หยวน-จีนแข็งค่า 4.2% วอน-เกาหลีใต้แข็งค่า 1.73%   ยกเว้น เปโซ-ฟิลิปินส์อ่อน 1.7%    ดอง-เวียดนามอ่อน 3.1%  รูเปียห์-อินโดนีเซียอ่อน 3.9%  รูปี-อินเดียอ่อน  4.6% สาเหตุบาทแข็งมาจากดอลลาร์อ่อนค่า หลังเฟดลดดอกเบี้ย และราคาทองคำในช่วงที่ผานมาปรับตัวสูงทำให้มีการเทขายทองทำกำไร

ส่วนเงินบาทในปีหน้าคาดว่าเคลื่อนไหวในกรอบ 30.80-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่จีดีพีไทยโต 1.8% จากปีนี้โต 2.1% ส่งออกหดตัว 1.8% จากปีนี้ 10.8% เงินเฟ้อ -0.2% จากปีนี้ 0.4%  คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 69 จาก 1.25% มาอยู่ที่ระดับ 1% ในช่วงที่นโยบายการคลังสะดุด เพราะเป็นรอยต่อการเกิดสุญญากาศทางการเมืองถ้าลดดอกเบี้ยจะช่วยพยุงเศรษฐกิจ  ส่วนเฟดอาจจะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง เหลือ 3-3.25%  

นอกจากนี้การติดตามการเลือกประธานเฟดคนใหม่แทนนายเจอโรม พาวเวลล์ ที่ครบวาระในปีหน้า ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐเลือกประธานเฟดคนใหม่เข้ามาอาจจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะกดเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง

สำหรับเศรษฐกิจในปีหน้ายังเผชิญความอ่อนแอ จากตัวเลขส่งออกที่ชะลอตัว และได้รับผลกระทบจาการเก็บภาษีทรัมป์ 19% เต็ม ๆ ในรายเซกเตอร์ หลังไทยเปิดดีลการค้ากับสหรัฐ  ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมรับมือสินค้าจีนและสหรัฐฯ จะทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้นจนส่งผลผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ ส่วนเม็ดเงินลงทุนต่างชาติอาจจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่ไม่มากนัก เนื่องจากหุ้นไทยกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมแบบเก่า สวนทางกับเทรนด์ต่างประเทศที่เป็น AI ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ดึงดูดนักลงทุน         

 โดยเงินบาทที่แข็งค่าบล.กรุงศรี มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้นบางกลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่มโรงไฟฟ้า: GULF, GPSC, BGRIM
  • กลุ่มนำเข้า: TOA, ADVANC, MOSHI, TVO, COM7 
  • กลุ่มสายการบิน: AAV, BA

กลุ่มที่ได้ประโยชน์ (เงินบาทแข็งค่า )

ผู้นำเข้าสินค้า: ต้นทุนในการซื้อสินค้าจากต่างประเทศถูกลง 

ผู้ประกอบการที่ใช้พลังงาน  เมื่อบาทแข็งค่าจะช่วยให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงตามไปด้วย

ผู้ที่มีหนี้สินต่างประเทศ: ธุรกิจหรือรัฐบาลที่มีหนี้เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ จะใช้เงินบาทจำนวนน้อยลงในการชำระหนี้ก้อนเดิม

สายการบิน: ได้ประโยชน์จากค่าเชื้อเพลิงที่ถูกลง และค่าเช่า/ค่าซื้อเครื่องบินที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศลดลง

ผู้บริโภค : ซื้อสินค้าแบรนด์เนมหรือสินค้านำเข้าได้ในราคาที่คุ้มค่าขึ้น

นักท่องเที่ยวไทย :ไปเที่ยวต่างประเทศได้ถูกลง เพราะแลกเงินต่างประเทศได้จำนวนมากขึ้นด้วยเงินบาทเท่าเดิม

นักลงทุน: สามารถออกไปลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ต่างประเทศได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง

กลุ่มที่เสียประโยชน์(เงินบาทแข็งค่า ) 

  • ผู้ส่งออกสินค้า:  เมื่อขายสินค้าเป็นเงินดอลลาร์แล้วนำกลับมาแลกเป็นเงินบาท จะได้เงินน้อยลง   

  • อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว:   เที่ยวเมืองไทย "แพงขึ้น" เพราะเงินของเขาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง อาจทำให้การใช้จ่ายลดลงหรือเปลี่ยนเป้าหมายไปประเทศอื่นที่ค่าเงินอ่อนกว่า

  • คนทำงานต่างประเทศ: เมื่อส่งเงินกลับบ้านที่เมืองไทย เงินสกุลต่างประเทศเหล่านั้นจะแลกเป็นเงินบาทได้จำนวนน้อยลง

  • ผู้ที่ถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศ: เช่น คนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ หรือถือเงินดอลลาร์ไว้ เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท มูลค่าของสินทรัพย์จะลดลงทันทีจากอัตราแลกเปลี่ยน


ในปีหน้าตลาดการเงินยังมีความเผชิญความเสี่ยง จากนโยบายลดดอกเบี้ยของเฟด และปัจจัยการเมืองในประเทศที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้ง ผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกต้องป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวนมากเกินไป ....


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง