แค่ร้อนขึ้น 1 องศาฯ กรุงเทพฯ สูญหมื่นล้าน

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนเส้นทางที่เสี่ยงต่อการสูญเสียทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ หากไม่สามารถปรับตัวและรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างทันท่วงที รายงานฉบับล่าสุดของธนาคารโลก (World Bank) ชี้ว่า ภายในปี 2050 ประเทศไทยอาจสูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ถึง 14% หากยังคงดำเนินนโยบายแบบเดิมโดยไม่เร่งปรับตัว การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ภัยแล้ง น้ำท่วม และการกัดเซาะชายฝั่งกำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อทั้งเศรษฐกิจ สุขภาพแรงงาน และคุณภาพชีวิตของคนไทยโดยตรง
จากรายงานของธนาคารโลก ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีความเสี่ยงต่ออุทกภัยมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของประชากรราว 40% ของประเทศ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากถึง 66% ของ GDP ทั้งประเทศ พื้นที่แห่งนี้จึงถือเป็น “หัวใจเศรษฐกิจของชาติ” ที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศอย่างยิ่งฃ
หนึ่งในผลกระทบสำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ การสูญเสียผลิตภาพแรงงานจากความร้อนสูง ซึ่งจะกระทบต่อแรงงานในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร รายงานระบุว่า ทุก ๆ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 85,000–123,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1.6–2% ของ GDP ของกรุงเทพฯ เนื่องจากการเสียชีวิตจากคลื่นความร้อน การสูญเสียประสิทธิภาพแรงงาน และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เกิดขึ้นแล้วในกว่า 30% ของแนวชายฝั่งประเทศไทย กำลังสร้างความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง ภาคการท่องเที่ยวอาจสูญเสียรายได้มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในกลางทศวรรษ 2040
ในขณะเดียวกัน ภาวะขาดแคลนน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมหลักและเขตอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจกระทบทั้งผลผลิตทางการเกษตรและห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม รายงานของธนาคารโลกชี้ให้เห็นว่า การลงทุนเชิงรุกเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น คุ้มค่ามากกว่าการปล่อยให้ปัญหาบานปลาย โดยคาดว่าประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับสภาพภูมิอากาศมูลค่ารวมกว่า 219,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 25 ปีข้างหน้า คิดเป็นราว 2.4% ของ GDP สะสม แต่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่จะได้รับกลับมานั้นสูงกว่าต้นทุนอย่างมาก
หากประเทศไทยลงทุนอย่างจริงจังในโครงการป้องกันน้ำท่วม ความมั่นคงทางน้ำ การป้องกันชายฝั่ง และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับความร้อน จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ราว 2–3% ภายในปี 2040 และ 4–5% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่ดำเนินการใด ๆ
นอกจากผลกระทบทางกายภาพ ประเทศไทยยังเผชิญกับ “ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ” (transition risks) หากไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มการลดคาร์บอนของคู่ค้าระดับโลก ปัจจุบันบริษัทข้ามชาติถึง 78% วางแผนจะตัดซัพพลายเออร์ที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงออกจากห่วงโซ่อุปทานภายในปี 2025 ขณะเดียวกัน มาตรการใหม่อย่าง “ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน” ของสหภาพยุโรป (EU CBAM) ก็อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยในอนาคต
ในทางกลับกัน หากประเทศไทยเร่งเดินหน้า “การลดคาร์บอนอย่างเร่งด่วน” (accelerated decarbonisation) GDP ของประเทศอาจเพิ่มขึ้นได้อีก 2.5% ภายในปี 2050 จากฐานการคาดการณ์เดิม การปฏิรูปภาคไฟฟ้าถูกระบุให้เป็นภารกิจสำคัญ โดยควรส่งเสริมการแข่งขันในพลังงานหมุนเวียน พัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย และเชื่อมโยงกับระบบพลังงานภูมิภาค การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่เพียงช่วยลดต้นทุนไฟฟ้าในระยะยาว แต่ยังสามารถป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรกว่า 15,000 รายต่อปีจากมลพิษทางอากาศภายในปี 2050
รายงานนี้เผยแพร่ก่อนที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank Group) ในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะได้แสดงวิสัยทัศน์และบทบาทผู้นำด้านเศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาค
ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ทั้งจากภัยธรรมชาติ การสูญเสียผลิตภาพแรงงาน และการเปลี่ยนแปลงของระบบการค้าโลก หากไม่เร่งดำเนินการ ประเทศอาจสูญเสีย GDP สูงถึง 14% ภายในปี 2050 แต่ในทางกลับกัน หากเริ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การจัดการน้ำ พลังงานสะอาด และการลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ ก็จะสร้างทั้งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสุขภาพในระยะยาว โลกในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่สงครามของอุณหภูมิ แต่คือการทดสอบความสามารถของประเทศในการ “อยู่รอดและเติบโต” ท่ามกลางภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
