แพนด้าสุกี้ปิดตำนาน 40 ปี สัญญาณเตือนวงการสุกี้บุฟเฟต์?
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า "แพนด้าสุกี้" ถือเป็นร้านสุกี้บุฟเฟต์ในตำนานที่ครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุค 90s จนถึงปัจจุบัน กว่า 40 ปี ที่ร้านแห่งนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ของใครหลายคนที่คิดถึงสุกี้รสชาติถูกใจในราคาที่คุ้มค่า อย่างไรก็ดี ข่าวการปิดตัวของแพนด้าสุกี้ในปี 2567 ก็ทำเอาหลายคนรู้สึกเสียดายไม่น้อย เพราะนั่นหมายถึงการสิ้นสุดของอีกหนึ่งร้านอาหารในความทรงจำของผู้คน
หากมองย้อนกลับไปในอดีต จะพบ ร้านสุกี้บุฟเฟต์ชื่อดังอย่าง "Hot Pot" ที่เคยรุ่งเรืองมีสาขากว่า 200 แห่งทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 4 สาขา ประสบภาวะขาดทุนติดต่อกันถึง 4 ปี โดยในปีล่าสุด มีรายได้เพียง 380 ล้านบาท ขณะที่ขาดทุนสุทธิถึง 200 กว่าล้านบาท ซึ่ง Hot Pot เป็นรายได้หลักถึง 70-80% ของบริษัทแม่อย่าง บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน)
สมรภูมิสุกี้ชาบูเดือด ใครอยู่ใครไป?
ในขณะที่หลายร้านปิดตัวลง แต่ตลาดสุกี้ชาบูกลับมีมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านบาท และมีการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาชิงส่วนแบ่ง ไปจนถึงเจ้าตลาดเก่า อย่าง MK, โม โม พาราไดซ์, อากิโยชิ, ยูแอนด์ไอ, นีโอ สุกี้ ที่ต่างงัดกลยุทธ์ออกมาสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
โดยเฉพาะ "สุกี้ตี๋น้อย" ที่มาพร้อมกับโมเดลบุฟเฟต์ราคาประหยัด และมีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าจับตามอง และอาจจะเป็นคู่แข่งสำคัญของเหล่าเจ้าตลาดในอนาคต
MK ปรับตัวสู้ศึก ขอโตนอกร้าน
เมื่อการรับประทานอาหารที่ร้านอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป MK สุกี้ เจ้าตลาดเก่าแก่จึงปรับตัวด้วยการขยายไลน์ธุรกิจ โดยเริ่มจากการส่งน้ำจิ้มสูตรเด็ดออกมาขายในรูปแบบขวด ทั้งที่ร้านและช่องทางออนไลน์ ก่อนที่จะไปไกลถึงการส่ง "ชุดสุกี้พร้อมปรุง" เข้าไปวางขายในร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศ ในราคาเพียงชุดละ 69 บาท เพื่อตอบโจทย์คนที่ชอบกินสุกี้ที่บ้าน
นี่ถือเป็นการเดินเกมที่น่าสนใจของ MK ในการรุกตลาดนอกร้าน เพื่อสร้างรายได้เสริมจากกลุ่มลูกค้าที่อาจไม่ได้มาทานที่ร้านบ่อยนัก รวมถึงรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดสุกี้ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
บุฟเฟต์ขาลง? เมื่อผู้บริโภคเน้นคุณภาพและความคุ้มค่า
ยุคทองของสุกี้บุฟเฟต์กำลังจะถึงจุดจบแล้วหรือ? จากกระแสความนิยมที่เคยเฟื่องฟูในอดีต ตอนนี้กลับมีร้านบุฟเฟต์หลายแห่งต้องปิดตัวลง สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นปริมาณและความคุ้มค่า มาเป็นการให้ความสำคัญกับคุณภาพ รสชาติ ความสะอาด และบรรยากาศของร้านมากขึ้น
นอกจากนี้ ความคุ้มค่าในสายตาของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่มองว่า "บุฟเฟต์คือความคุ้มค่า" เพราะสามารถกินได้ไม่อั้นในราคาเดียว แต่ปัจจุบันผู้บริโภคคำนึงถึง "ความคุ้มค่าที่แท้จริง" คือ คุณภาพอาหารและบริการที่ได้รับต้องสมราคา ซึ่งร้านบุฟเฟต์หลายแห่งยังไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้ดีพอ จึงทำให้ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่
ดังนั้น ร้านบุฟเฟต์ที่ต้องการอยู่รอดในยุคนี้จึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่เน้นปริมาณอาหารอีกต่อไป แต่ต้องใส่ใจในคุณภาพ รสชาติ ความสะอาด และบรรยากาศของร้าน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และตอบโจทย์ความคุ้มค่าที่แท้จริงในยุคปัจจุบัน
บทเรียนแห่งความอยู่รอด
การปิดตัวลงของแพนด้าสุกี้และร้านอาหารอื่นๆ เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความแตกต่างและจุดขายที่โดดเด่น การรักษาคุณภาพและมาตรฐานของอาหาร การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หรือการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารสามารถยืนหยัดและเติบโตได้ในยุคที่การแข่งขันสูงเช่นนี้
อนาคตตลาดสุกี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?
แม้ตลาดสุกี้ชาบูจะยังคงเติบโต แต่ก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอีกมากมายในอนาคต ทั้งรูปแบบการให้บริการ ประเภทอาหาร และการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
ร้านอาหารที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตในตลาดนี้ จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
คำถามคือ ร้านอาหารของคุณพร้อมรับมือกับความท้าทายเหล่านี้หรือยัง?