Mo-Mo-Paradise ชาบูพันล้าน ปักหมุดรายได้โตปีละ 10% ปี 69 ลุยขยายสาขาต่อเนื่อง

คุณสุรเวช เตลาม ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท ในเบิล เรสตอที่รองค์ จำกัด เปิดเผยว่า มองว่าแนวโน้มธุรกิจอาหารของประเทศไทยในปี 2568 ภาพรวมมีการเติบโตขึ้น แต่อาจจะไม่ได้โตทุกราย เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด และมีผู้เล่นบางส่วนที่หายไป ส่วนปี 2567 ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดในประเทศมีการเติบโตสูงมาก จึงมองว่าปีนี้อาจจะโตต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ส่วนการแข่งขันมีแนวโน้มที่ดุเดือดมากขึ้น และยังไม่มีภาพของเศรษฐกิจที่ชัดเจนว่าตลาดอาหารจะกลับมาเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน
“ซึ่งภาพรวมตลาดชาบูในที่ได้รับความนิยม จะอยู่ในระดับราคา 200-300 บาทต่อหัว ซึ่งถือว่ามีการแข่งขันอย่างดุเดือด” คุณสุรเวช กล่าว
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจที่ผันผวนนั้น มีส่วนในการส่งผลต่อพฤติกรรมการทานอาหารนอกบ้านของผู้บริโภค ทำให้ผู้คนอาจจะไม่ค่อยมีอารมณ์ในการออกมาทานอาหารนอกบ้านมากนัก รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยค่อนข้างต่ำกว่าเดิม ทำให้ตลาดร้านอาหารที่ทานอกบ้านยอดขายซึมลงไปบ้าง แต่สำหรับตลาดเดลิเวอรี่ก็ยังเติบโตได้ดี
ทางด้านร้านของ Mo-Mo-Paradise ก็ถือว่ายังมีการเติบโตได้ดี เพราะเรา ไม่ได้เน้นการแข่งขันด้านการตลาดมากนัก แต่จะเน้นด้าน Core business รสชาติการ บริการเป็นหลัก ซึ่งการเติบโตของเราไม่ได้หวือหวา แต่ก็มีทิศทางที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์ของเราคือ ตลาดของราคา 200-300 บาทต่อหัว ไม่ได้ชนกับเราซะทีเดียว เราจึงเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า การบอกปากต่อปาก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดีนัก บริษัทจึงไม่ได้มีการขยายสาขา แต่ได้กลับมาปรับปรุงทีมงาน ปรับปรุงระบบโดยรวมใหม่ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าจะมีสาขาเท่าเดิมแต่ ในปี 2568 นี้ภาพรวมการเติบโตต่อสาขาเดิม (SSSG) มีการเติบโตมากขึ้น ซึ่งอาจไม่ได้เป็นการเติบโตสูงมากนักแต่ก็ถือว่าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันบริษัทมีสาขา Mo-Mo-Paradise ทั้งหมด 29 สาขา Mo-Mo-Paradise (Gold) 2 สาขา Nabezo Premium 3 สาขา Guljak Topokki Chicken 2 สาขา เเละ Gyukatsu Kyoto Katsugyu 3 สาขา อย่างไรก็ตามปี 2569 บริษัทมีแผนจะเริ่มขยายสาขาใหม่ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีแผนการนำแบรนด์ใหม่เข้ามาสู่ตลาดในประเทศ
ความท้าทายของการนำแบรนด์ร้านอาหารจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย คือการทำยังไงก็ตามให้ลูกค้าเข้าใจถึงอาหารนั้นๆ และมีการตอบรับที่ดีกับอาหารนั้นๆให้ได้ ซึ่งลูกค้าแต่ละคนมีภาพจำแตกต่างกันเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งปัจจุบันอาหารญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างแยกย่อยหลายประเภท
สำหรับการเติบโตของ บริษัทปัจจุบันมีรายได้ในระดับ 1,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ก็มองว่าอาจจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% และในระยะถัดราว 5 ปีต่อจากนี้รายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสองเท่า
สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญเราต้องทำให้ลูกค้าอยากกลับเข้ามาใช้บริการของเรา ซึ่งหากอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยทำได้ดี ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อถือ และกลับมาทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีต 20 ปีที่ผ่านมาการทานอาหารนอกบ้านยังไม่ได้ได้รับความนิยมมากนัก ซึ่งปัจจุบันถือว่าผู้บริโภคมีการรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นจำนวนมาก โดยภาพรวมร้านอาหารปี 2568 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับช่วงการก่อน โควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท ถือว่าเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม
ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับการทำธุรกิจไม่อยากให้มองผลกำไรเป็นตัวตั้ง แต่ควรมองว่าอยากจะส่งมอบอะไรให้กับลูกค้า ซึ่งนั่นจะนำมาซึ่งความยั่งยืน และทำให้มีลูกค้ากลับมาใช้บริการของเรา และสุดท้ายจะส่งมาเป็นผลกำไรให้แก่บริษัทได้เอง ซึ่งปัจจุบันบริษัทเราเติบโตขึ้นมามากแล้วแต่เราก็ยังเน้นการทำอย่างนั้นอยู่
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
