หมอประสิทธิ์ ชี้ได้ลุ้นคลายล็อกกลางกย. ชง ศบค.ก่อนเข้าตลาด 29 จว.ต้องแยงจมูก
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า สถานการณ์โควิดในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขขณะนี้อาจดูเหมือนยังไม่ลดลง เพราะผู้ติดเชื้อใหม่ยังแกว่งอยูที่ 1.9-2 หมื่นรายต่อวัน แต่ที่เห็นชัด คือ อัตราการติดเชื้อลดลง ตัวเลขที่จะวิ่งขึ้นมากๆ ไม่เกิดขึ้นมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ส่วนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 300 รายต่อวัน
เมื่อสอบถามข้อมูลพบว่าเป็นตัวเลขที่รายงานเข้าระบบช้า แต่ตอนนี้เข้าใจว่ามีการเคลียร์ตัวเลขแล้ว ดังนั้น ตอนนี้ผู้เสียชีวิตรายใหม่น่าจะอยู่ที่ 200 กว่าราย ทั้งนี้ ตัวเลขเหล่านี้หากดูวันต่อวัน อาจไม่ชัด ต้องดูตัวเลข 7 วัน แล้วเฉลี่ยกัน เราจะเห็นว่า เส้นความชันเริ่มน้อยลงกว่าเดิมเยอะ ใกล้เข้าสู่ระนาบเส้นตรง และเมื่อถึงจุดหนึ่ง กราฟก็จะเริ่มกดหัวลงเป็นขาลง
ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้กราฟลดลงเกิดจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.การฉีดวัคซีน ในหลายประเทศที่ฉีดมากกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนประชากร จะเริ่มสู่ระยะที่ใกล้จะถึงพีค เมื่อฉีดใกล้ถึงร้อยละ 40-50 จะเริ่มเห็นตัวเลขปรับลง ซึ่งขณะนี้ไทยฉีดวัคซีนแล้วประมาณร้อยละ 28 ของจำนวนประชากร ถือว่าทำได้ดี บางวันฉีดสูงถึง 6 แสนโดส
” ดังนั้น เดือนๆ หนึ่ง เราน่าจะถึงเป้าหมายที่คุยกันไว้ที่ 15-18 ล้านโดส จังหวะตอนนี้เริ่มประกบเข้ามาทั้งเรื่องวัคซีน เท่าที่สอบถามได้ข้อมูลว่า มีโอกาสค่อนข้างแน่นอนว่าเดือนหนึ่งจะมีวัคซีนเข้ามา 10 กว่าล้านโดส โดยจะมีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาเติมเต็มอีกช่วงก่อนเดือนกันยายน เร็วกว่ากำหนดที่ระบุว่าในเดือนตุลาคม หวังว่าเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนให้ถึง 15 ล้านโดส หากเกิดขึ้นได้จริง จะเป็นปัจจัยเชิงบวกที่ทำให้กราฟกดหัวลงเร็วขึ้น แต่ต้องควบคู่กับระบบบริหารจัดการ รวมถึงประชาชนต้องเข้ามารับวัคซีน” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว
ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนสูตร SA ด้วยเข็มที่ 1 ซิโนแวค เข็มที่ 2 แอสตร้าเซนเนก้า ห่างกัน 3 สัปดาห์ ให้ประสิทธิผลทางทฤษฎีในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันระดับบี เซลล์ (B Cell) และที เซลล์ (T Cell) ได้สูง และมีประสิทธิผลในห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ยืนยัน อย่างไรก็ตาม 2.มาตรการสังคม การปกครอง และ 3.มาตรการบุคคล ก็เป็นส่วนสำคัญในการลดอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อ
“ถ้าวัคซีนพอ ระบบดี และคนไปฉีดวัคซีน เชื่อว่า หากตัวเลขเป็นไปตามเป้าหมายนี้จริงๆ โอกาสที่จะเริ่มเข้าสู่ขาลงใกล้ๆ นี้ก็น่าจะเป็นไปได้ ยังไม่อยากบอกให้เร็วว่าปลายเดือนสิงหาคมนี้ แต่เชื่อว่าภายในเดือนกันยายนนี้ จะเห็นตัวเลขการเสียชีวิตลดลงก่อน เพราะโมเมนตัมของผู้ป่วยใหม่ที่เข้ามาแล้วต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ออกซิเจนลดลง แต่คนที่ใช้อยู่ก่อน เช่น ที่ รพ.ศิริราช รักษากันเดือนกว่า ดังนั้นตัวเลขการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น ก็เป็นการย้อนกลับมา อาจไม่ใช่ตัวเลขที่บอกได้ทันที แต่ตัวเลขผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยใหม่ที่มีปอดอักเสบ ใช้เครื่องช่วยหายใจ จะเป็นตัวคาดการณ์ในอนาคต ถ้าตัวเลขน้อยลงเรื่อยๆ คาดการณ์ว่าอัตราสียชีวิตจะน้อยลง” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว
ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มเห็นแนวทางจากข้อมูลสะสมรายสัปดาห์ เริ่มเห็นขาที่นิ่ง คงที่ และน่าจะเริ่มมีตัวเลขลงแล้ว แต่อัตราการติดเชื้อใหม่จะเห็นช้าไปอีก 2-3 สัปดาห์ หากไม่มีการระบาดคลัสเตอร์ใหญ่ๆ ขึ้นมา ส่วนตัวเชื่อว่าภายในกลางเดือนกันยายนนี้ น่าจะเห็นตัวเลขขาลง ค่อนข้างแน่ หากดูในเวิลด์โดมิเตอร์ ก็เริ่มเห็นว่าลงเล็กน้อย อีก 2-3 สัปดาห์ต่อจากนี้น่าจะเห็นชัด
ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวถึงหลักการผ่อนคลายมาตรการ ว่า ต้องดูจากข้อมูลจริง และอัตราคนที่ได้รับการฉีดวัคซีน ส่วนรูปแบบการผ่อนนั้น ทุกประเทศคล้ายกันคือ ไม่ล็อกดาวน์ทั้งประเทศอีกแล้ว แต่จะล็อกตามเป้าหมาย จังหวัดไหนทำได้ดี ก็จะผ่อนคลาย แต่มีมาตรการติดตามใกล้ชิด กิจกรรมที่สามารถควบคุมได้ สถานประกอบการ ผู้เข้าใช้บริการต่างร่วมมือ และมีการฉีดวัคซีน
อย่างในต่างประเทศทางยุโรป เมื่อผ่อนคลายมาตรการ หรือผ่อนคลายกิจกรรมบางอย่าง ก็จะมีมาตรการใช้เฮลธ์ พาส (Health Pass) ในมือถือ หากมี 1 ใน 3 ก็จะอนุญาตให้เข้าสถานประกอบการได้ คือ 1.ได้รับวัคซีนครบโดส 2.ผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบ หรือ 3.แสดงหลักฐานว่าเพิ่งหายจากการติดเชื้อ จะทำให้มั่นใจได้ว่าคนที่เข้าไปใช้บริการจะไม่แพร่กระจายเชื้อสู่คนอื่นๆ เช่น การนั่งรับประทานอาหารในร้าน เป็นต้น แต่ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่ามีการละเมิดก็จะถูกปรับด้วยโทษหนัก ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว
ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว อย่างไรก็ดีปลายเดือนสิงหาคมนี้ หากจะเกิดการผ่อนคลายขึ้นในประเทศไทย ก็น่าจะมีการเสนอมาตรการนี้เข้า ศบค. ให้พิจารณา ซึ่งในอีก 2-3 วันนี้ ต้องหารือกันเลย จะมีเวลาอีก 1 สัปดาห์ เพื่อดูตัวเลข หากส่งสัญญาณดีขึ้น ก็อาจมีการพิจารณา แต่ต้องตกลงเงื่อนไขกับผู้ให้บริการ หากทุกคนร่วมกัน มีโอกาสเริ่มผ่อนคลาย ซึ่งหากวกมาอีกก็ต้องมีการควบคุม สำหรับไทยอาจจะใช้เป็น เช่น การแสดงหลักฐานฉีดวัคซีนในมือถือ หรือเป็นการให้สถานประกอบการบริการจุดตรวจโควิด-19 ชนิด แอนติเจน เทสต์ คิท(ATK) ที่มีความไวและความจำเพาะดีๆ ไว้ให้ลูกค้า เพื่อตรวจก่อนเข้าใช้บริการ ก็จะเป็นมาตรการหนึ่งที่ดี
ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนตัวที่ติดตามดูการดำเนินการของประเทศต่างๆ เห็นว่าจุดคลายล็อกที่น่าจะปลอดภัยคือ การฉีดวัคซีนที่ร้อยละ 50 ของจำนวนประชากร ขณะนี้ไทยฉีดแล้ว 26 ล้านโดส แต่หากฉีดได้ตามเป้าหมายเดือนละ 15 ล้านโดสหรือเฉลี่ยวันละ 5 แสนโดส เมื่อรวมกันจะได้ประมาณ 40 ล้านโดส นั่นคือภายในกลางเดือนกันยายนนี้ ควรจะได้ฉีดได้ 40 กว่าล้านโดส เพื่อให้เข้าใกล้ตัวเลขร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรคนไทย 70 กว่าล้านคน ก็ควรจะได้วัคซีน 35 ล้านคน
เราน่าจะเซฟพอที่จะคลายล็อก ทั้งนี้ ปลายเดือนสิงหาคม ตัวเลขอาจจะยังไม่ดี แต่อีก 14 วันให้หลัง น่าจะคลายล็อกได้ค่อนข้างปลอดภัย แต่ต้องเลือกพื้นที่และกิจกรรมให้เหมาะสม มีการติดตามอย่างเข้มงวด ซึ่งจะแปรผกผันกับความชุกของการติดเชื้อ คือผู้ติดเชื้อมากก็จะคลายล็อกได้น้อย แล้วค่อยผ่อนคลายต่อหากสถานการณ์ดีขึ้น อย่างเช่นปีที่แล้ว เราคลายล็อกกันตั้ง 6 รอบ ดังนั้น เราต้องค่อยๆ คลายล็อก ส่วนตัวลึกๆ หากไม่มีคลัสเตอร์ใหม่ ดูจากตัวเลขเวลานี้แล้ว ก็ดูจากเคสหนักๆ ผมคิดว่าหากยังไม่ถึงจุดสูงสุดของยอดติดเชื้อ ก็น่าจะใกล้ถึงเต็มที่แล้ว และอีกไม่นานก็จะถึงจุดที่วกลง ทั้งอัตราการเสียชีวิตและการติดเชื้อ” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษก ประจําสํานักนายกฯ กล่าวว่า จากกรณีพื้นที่สีแดงเข้มโดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลพบผู้ติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับตลาดสดและตลาดนัด โดยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน -10 สิงหาคม พบติดเชื้อใน 23 จังหวัด ในตลาด 132 แห่ง ผู้ติดเชื้อรวม 14,678 คน สธ.จึงจัดทำมาตรการป้องกันการในตลาด ประกอบด้วยมาตรการ 3 ส่วน ได้แก่ ป้องกันคน ป้องกันตลาด และจัดการระบบเฝ้าระวังควบคุมโรค จะเสนอ ศบค.พิจารณาต่อไป ในส่วนการป้องกันคนจะมีตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท หรือเอทีเค ในกลุ่มเป้าหมายได้แก่ผู้ค้า ลูกจ้าง แรงงาน ผู้อยู่อาศัยที่ประกอบธุรกิจอยู่โดยรอบ และสุ่มตรวจผู้ซื้อในตลาด ดำเนินการในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด แบ่งเป็น 3 ระยะ โดยระยะที่ 1 ดำเนินการใน 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ราชบุรี ชลบุรี นครราชสีมา สงขลา และสระแก้ว เป้าหมายที่ตลาดค้าส่งและตลาดขนาดใหญ่ (500 แผงขึ้นไป) ตลาดที่มีความเสี่ยงสูง มีชุมชนรอบตลาด รวม 27 แห่ง ระยะที่ 2 ดำเนินการในตลาดทุกขนาด ในจังหวัดสีแดงเข้ม 16 จังหวัด ตลาด 117 แห่ง และระยะที่ 3 ครอบคลุมตลาดทุกขนาด ในพื้นที่สีแดงเข้มทั้ง 29 จังหวัด รวมตลาด 683 แห่ง
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าจะตรวจครอบคลุมเป้าหมาย 202,010 คน ตรวจทุกสัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ใช้ชุดตรวจเอทีเค 850,000 ชุด จะขอรับการสนับสนุนชุดตรวจจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต่อไป นอกจากนี้จะฉีดวัคซีนแก่ผู้เกี่ยวข้องในตลาดตามลำดับความเสี่ยง รวมถึงดำเนินมาตรการอื่นควบคู่ เช่น แผนเผชิญเหตุ จัดเตรียม รพ.สนามหรือสถานที่แยกกัก เพื่อรองรับกรณีผู้ติดเชื้อหรือพบผู้มีผลตรวจเอทีเคเป็นบวก