เปิดเงื่อนไข ทุ่ม 7,500 ล้าน จ่ายเยียวยาพิเศษ คนงาน-ร้านอาหาร ได้คนละ2,000บาท
เปิดเงื่อนไข ทุ่ม 7,500 ล้าน จ่ายเยียวยาพิเศษ คนงาน-ร้านอาหาร ที่อยู่ในระบบ-นอกระบบประกันสังคม ได้คนละ 2,000 บาท พร้อมชดเชยกรณีเหตุสุดวิสัยร้อยละ 50 ของฐานเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท
วันที่ 28 มิ.ย.64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะงานแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25)โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศปก.ศบค.)
นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พล.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
นายดนุชา แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้างร้านอาหารและไซต์งานก่อสร้าง ที่ได้รับผลกระทบจากการออกข้อกำหนออกตามความในมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 25) ในพื้นกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ นนทบุรี สมุทรสาคร ระยะเวลา 1 เดือน แบ่งออกเป็น ธุรกิจไซต์งานก่อสร้าง และธุรกิจร้านอาหาร และทั้งในระบบประกันสังคมและนอกระบบประกันสังคม
1.ในระบบประกันสังคม กรณีลูกจ้าง จ่ายชดเชยกรณีเหตุสุดวิสัยร้อยละ 50 ของฐานเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท นอกจากนี้ยังได้ “เงินเพิ่มเติม” จำนวน 2,000 บาทต่อราย ส่วนนายจ้างหรือผู้ประกอบการ จะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อหัวลูกจ้างในบริษัท สูงสุดไม่เกิน 200 คน
2.นอกระบบประกันสังคม ข้อมูลเบื้องต้นเป็นฐานข้อมูลที่อยู่ในระบบ “ถุงเงิน” ให้ดำเนินการลงทะเบียนเข้าระบบประกันสังคม กรณีลูกจ้างจะได้รับเงิน 2,000 บาทต่อหัว แต่ไม่ได้เงินชดเชยร้อยละ 50 เนื่องจากจ่ายเงินสบทบเข้ากองทุนประกันสังคมไม่ถึง 6 เดือน ส่วนกรณีนายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อหัวลูกจ้างเช่นเดียวกัน
สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนประกันสังคมได้ เนื่องจากไม่มีลูกจ้าง สามารถขึ้นทะเบียนผ่าน “ถุงเงิน” (หมวดร้านอาหารและเครื่องดื่ม) ได้ภายใน 1 เดือน โดยกระทรวงมหาดไทยจะลงไปตรวจสอบ
เบื้องต้นกรอบวงเงินที่รัฐบาลเตรียมไว้ทั้งหมด 7,500 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินกู้ 1 ล้านล้าน 4,000 ล้านบาท และกองทุนประกันสังคม 3,500 ล้านบาท โดยต้องให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 29 มิ.ย. เห็นชอบในหลักการการเยียวยาครั้งนี้ก่อน