ร้อนจัดจนตาย คลื่นความร้อนยุโรป ทุบสถิติผู้เสียชีวิต

คลื่นความร้อนที่รุนแรงในยุโรปเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่ได้เพียงสร้างความร้อนระอุ แต่ยังคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก ล่าสุดงานวิจัยระบุว่า “วิกฤตภูมิอากาศ” ทำให้การเสียชีวิตจากคลื่นความร้อนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในเมืองใหญ่ของยุโรป

การวิเคราะห์อย่างเร่งด่วนโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ World Weather Attribution พบว่า ภาวะโลกร้อนที่เกิดจากกิจกรรมมนุษย์ ทั้งการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลและการตัดไม้ ทำให้คลื่นความร้อนในยุโรปครั้งล่าสุดรุนแรงขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับโลกที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

งานวิจัยชี้ว่า คลื่นความร้อนครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนใน 12 เมืองใหญ่ เช่น ลอนดอน ปารีส มาดริด บาร์เซโลนา และโรม รวมกว่า 2,300 ราย โดยกว่า 1,500 ราย หรือราว 65% ของการเสียชีวิต เกิดจากภาวะโลกร้อนโดยตรง ถือเป็นครั้งแรกที่มีการประเมินตัวเลขการเสียชีวิตที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในคลื่นความร้อนอย่างชัดเจน

สาเหตุของความรุนแรงเกิดจาก “ฮีทโดม” ระบบความกดอากาศสูงที่ปกคลุมยุโรป ดักเก็บความร้อนและดึงอากาศร้อนจากแอฟริกาเหนือ ส่งผลให้อุณหภูมิสูงผิดปกติยาวนานหลายวัน โรงเรียนในฝรั่งเศสต้องปิดทำการ อิตาลีสั่งห้ามทำงานกลางแจ้งช่วงกลางวันเสี่ยงอันตราย หลายประเทศประกาศเตือนภัยสุขภาพ ระดับ “แดง” ในปารีส และ “เหลือง–ส้ม” ในอังกฤษ

ผลการประเมินพบว่า กรุงลอนดอนมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 171 ราย ปารีส 235 ราย และมาดริด 317 ราย โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดต่อสภาพอากาศร้อนจัด นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า คลื่นความร้อนไม่ได้ทิ้งร่องรอยการทำลายล้างเหมือนไฟป่าหรือพายุ แต่เป็น “ภัยเงียบที่คร่าชีวิต” และการเพิ่มขึ้นเพียง 2–3 องศาอาจหมายถึงความเป็นความตายของผู้คนนับพัน หากโลกร้อนแตะ 3 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้ ความเสี่ยงจากคลื่นความร้อนในยุโรปจะทวีความรุนแรงขึ้นมหาศาล

งานวิจัยชี้ชัดว่า วิกฤตภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์เป็นต้นเหตุสำคัญของการเสียชีวิตจากคลื่นความร้อนในยุโรป เพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตขึ้นถึง 3 เท่าในปีนี้ ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า ภัยจากภาวะโลกร้อนไม่ใช่อนาคตไกลตัวอีกต่อไป แต่กำลังคร่าชีวิตผู้คนแล้วในปัจจุบัน ทางออกเดียวคือการเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง