ทำไม 'บริษัททุนจีน' ในไทย โตพรวด 600 แห่ง ตัวเลขนี้...บอกอะไร?

เปิดเบื้องหลังโครงสร้างธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่แฝงทุนจีน ผ่านระบบนอมินี เสนอรัฐยกระดับกฎหมาย–กำกับวิศวกร–ตรวจสอบต่างด้าว หลังเหตุการณ์ตึกถล่ม สตง.
ยอดภูเขาน้ำแข็งชื่อไชน่าเรลเวย์: เบื้องหลังทุนจีนกับบริษัท ‘ไทย’ ที่ไม่ใช่ไทย
เมื่อรัฐจดแต่ไม่จำ: นอมินีทุนจีน–วิศวกรผี–กฎหมายที่เปิดช่อง ?
เหตุการณ์ตึกถล่ม กับคำถามที่ใหญ่กว่าความเสียหายทางกายภาพ
เหตุการณ์อาคารสำนักงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มเมื่อไม่นานนี้ ได้กลายเป็นจุดตั้งต้นของการตั้งคำถามครั้งใหญ่ต่อระบบที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับทุนต่างชาติและการจดทะเบียนบริษัทผ่านโครงสร้างที่เรียกกันว่า “นอมินี” หรือผู้ถือหุ้นตัวแทน
แม้ยังไม่มีข้อสรุปว่าปัจจัยใดเป็นสาเหตุโดยตรงของการถล่มในครั้งนี้ แต่ข้อมูลที่เปิดเผยในสภาผู้แทนราษฎรโดยกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงโครงสร้างที่ควรได้รับการตรวจสอบและกำกับดูแลอย่างจริงจัง
“ไชน่าเรลเวย์” และภาพกว้างของบริษัทถือหุ้นลักษณะพิเศษ
นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานกรรมาธิการฯ ระบุว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ซึ่งมีชื่อปรากฏในโครงการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับตึก สตง. ไม่ได้เป็นกรณีโดดเดี่ยว หากแต่สะท้อนแนวโน้มที่กว้างกว่านั้น
ข้อมูลจากฐานทะเบียนธุรกิจชี้ว่า ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีการร่วมทุนกับบริษัทจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงปีล่าสุด มีมากกว่า 300 บริษัท ขณะที่ในอดีตเฉลี่ยอยู่ที่ 40–50 บริษัทต่อปี รวมแล้วกว่า 500–600 บริษัทในช่วงเวลา 5 ปี โดยทั้งหมดมีรูปแบบผู้ถือหุ้นที่คล้ายกัน คือ คนไทยถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่า แต่ไม่สามารถระบุบทบาทการบริหารจัดการได้ชัดเจน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งถือครองโดยนิติบุคคลต่างชาติ
ระบบจดทะเบียนกับคำถามเรื่องการกำกับตรวจสอบ
ประเด็นที่กรรมาธิการฯ ตั้งข้อสังเกตคือ การที่หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อาจยังไม่มีเครื่องมือหรือมาตรการเพียงพอในการตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นและบทบาทที่แท้จริงของผู้เกี่ยวข้องกับบริษัทต่างๆ เหล่านี้
กระบวนการจดทะเบียนอาจเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ แต่คำถามที่สังคมกำลังตั้งคือ ในกรณีที่พบรูปแบบการถือหุ้นลักษณะเดิมซ้ำๆ หลายร้อยบริษัท จะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อพิจารณาแนวโน้มความผิดปกติได้หรือไม่ และควรมีกลไกใดเพิ่มเติมในการคัดกรองบริษัทที่มีความเสี่ยง
วิชาชีพวิศวกรรมกับความกังวลเรื่องมาตรฐานและการใช้ชื่อโดยพลการ
อีกหนึ่งประเด็นที่กรรมาธิการฯ หยิบยกมาคือข้อร้องเรียนจากวิศวกรบางราย ซึ่งระบุว่ามีการนำชื่อและลายเซ็นของตนไปใช้ในเอกสารควบคุมงานก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการขออนุญาตบางส่วนอาจเกี่ยวข้องกับการใช้ใบอนุญาตวิชาชีพโดยบุคคลอื่นโดยไม่ชอบ
นอกจากนี้ยังพบข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วีซ่าประเภทนักเรียนหรือวีซ่าท่องเที่ยวในลักษณะที่อาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์จริง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องโหว่ที่รัฐควรพิจารณาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมแรงงานต่างชาติในภาคก่อสร้าง
ข้อเสนอเพื่อยกระดับระบบ ไม่ใช่กล่าวหาใครคนใดคนหนึ่ง
ในประเด็นนี้ กรรมาธิการฯ ไม่ได้ระบุความผิดไปยังบริษัทใดหรือบุคคลใดโดยตรง แต่เสนอให้รัฐตรวจสอบภาพรวมของโครงสร้างธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีทุนต่างชาติถือหุ้นร่วม พร้อมกับทบทวนมาตรการกำกับดูแลด้านแรงงาน วิชาชีพ และการจดทะเบียน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น
จากตึกถล่มหนึ่งหลัง สู่บทเรียนการออกแบบนโยบายเชิงระบบ
กรณีตึก สตง. ไม่ควรถูกจดจำเพียงในฐานะอุบัติเหตุ แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนโครงสร้างเศรษฐกิจระดับจุลภาคที่โยงใยกับกฎหมายมหภาค — ตั้งแต่ระบบการอนุญาตแรงงาน ความโปร่งใสของทุนต่างชาติ ไปจนถึงการใช้วิชาชีพอย่างเหมาะสม
หากรัฐสามารถนำเหตุการณ์ครั้งนี้ไปใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงระบบ กฎหมาย และกลไกกำกับดูแล ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอาจไม่สูญเปล่า และจะกลายเป็นพลังผลักดันเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางกายภาพและธรรมาภิบาลทางธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาว