รีเซต

พ้นภัย PM2.5 เปิด 29 พรรณไม้ ดูดสารพิษ ช่วยซับฝุ่น

พ้นภัย PM2.5 เปิด 29 พรรณไม้ ดูดสารพิษ ช่วยซับฝุ่น
TNN ช่อง16
15 ธันวาคม 2563 ( 15:16 )
181
พ้นภัย PM2.5 เปิด 29 พรรณไม้ ดูดสารพิษ ช่วยซับฝุ่น

"ต้นไม้แค่ต้นเดียว ช่วยลดมลพิษได้"  เคยได้ยินประโยคนี้กันหรือไม่?

เนื่องด้วยปัจจุบันนี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศมากมาย โดยเฉพาะในเขตเมืองและแหล่งอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีทั้งมลพิษทางอากาศภายในและภายนอกอาคาร ซึ่งปัญหามลพิษเกิดจากหลายแหล่ง ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่รู้หรือไม่ว่าในประเทศไทยมีพรรณไม้ดูดสารพิษ ช่วยซับฝุ่นละอองมากมายที่ควรนำไปปลูกทั้งภายในและภายนอกอาคาร และเพื่อง่ายต่อการคัดเลือก วันนี้ TNN จึงขอแนะนำพรรณไม้ 29 ชนิด ที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้

7 ไม้ยืนต้น ช่วยดูดซับฝุ่นละออง

1.กระถิน 2.มะขาม 3.บุนนาค 4.ขนุน 5.ชาสีทอง 6.มะม่วง 7.มะกอกน้ำ


22 ไม้ประดับ ช่วยดูดซับสารพิษทางอากาศ

1. หมากเหลือง (Areca Palm หรือ Yellow Palm) 


เป็นพืชตระกูลปาล์มที่ปลูกง่าย โตเร็ว เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลางสูง 5 - 10 เมตร ลำต้น มีลายคล้ายข้อปล้อง โค้งงอและตั้งตรงได้สัดส่วนสวยงาม ใบมีลักษณะเป็นรูปขนนก แผ่นใบมีสีเขียวอมเหลืองออกดอกอยู่ใต้กาบเป็นช่อสีเหลืองอ่อน ชอบแสงแดดจัดแต่ปลูกภายในอาคารได้

การดูแล ต้องการน้ำมาก ชอบความชื้นสูง และเป็นพืชที่คายความชื้นสูง ให้น้ำตอนเช้าวันละครั้ง ใส่ปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษจากอากาศได้มาก

2. จั๋ง (Lady Palm)


จั๋งเป็นพืชตระกูลปาล์มที่มีขนาดเล็ก ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน รูปใบพัดขึ้นเป็นกอคล้ายกอไผ่ มีความแข็งแรงมาก ถ้าปลูกลงดินนอกอาคารจะสูงได้ถึง 3 - 5 เมตร ถ้าปลูกในอาคารสูงไม่เกิน 2 เมตร เป็นพืชที่เจริญเติบโตช้า แต่เป็นพืชเลี้ยงง่ายและทนแล้ง จึงทนการขาดน้ำได้หลายวัน ทนต่อโรคและแมลงได้ดี อยู่ได้ทั้งแสงแดดจัดและกึ่งแดดได้ปลูกได้ในอาคารแต่ต้องมีแสงแดดพอสมควร

การดูแล เจริญได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ำพอประมาณ ต้องการความชื้นบ้าง ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำรดปีละ 2 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษจากอากาศได้มาก

3.เศรษฐีเรือนใน (Spider Plant)

เป็นไม้กอขนาดเล็ก มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน เมื่อแก่เต็มที่จะมีลำต้นอ่อนแตกออกมาเป็นกิ่ง มีต้นอ่อนเล็ก ๆ เป็นกระจุกอยู่ตรงปลายของกิ่ง ใบมีลักษณะคล้ายใบหญ้า ขอบใบสีเขียวยาวตลอดใบ กลางใบเป็นสีขาวใบมีความยาว 15 – 30 เซนติเมตร โค้งงอลงด้านล่าง ไม่ชอบแสงแดดตรง ๆ ปลูกได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

การดูแล เจริญได้ดีในดินร่วนซุย ไม่ต้องการน้ำมาก ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรด 2 เดือน/ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 – 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นปานกลาง และดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคารได้ดีมาก เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์เป็นต้น

4. ไอวี่ (Ivy)


เป็นไม้เถาคลุมดิน แตกใบเป็นแฉก ๆ คล้ายใบตำลึง พื้นใบสีเขียว ขอบใบด่าง สีขาว หรือเหลืองอ่อน กลางใบอาจมีด่างสีเขียวอมเทา ชอบแสงรำไรและยังเจริญได้ดีในที่ที่เป็นแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนท์และปลูกได้ดีในอาคาร

การดูแล ไม่ชอบอากาศร้อน ไม่ต้องรดน้ำบ่อย รดเมื่อดินแห้ง ค่อยๆรดจนหน้าดินเปียก ไม่ให้น้ำท่วมขัง ถ้าอากาศแห้งให้สเปรย์น้ำ ให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงจะทำให้ได้ไอวี่ที่เขียว ถ้าปลูกภายนอกอาคารให้ใส่ปุ๋ยลงในดิน ไม่ต้องให้ทางใบเพราะดูดซึมได้น้อย ถ้าปลูกในอาคารให้ปุ๋ยเดือนละ 1 ครั้งทางใบ อุณหภูมิที่เหมาะสม 16 - 25 องศาเซลเซียส การคายความชื้นปานกลางถึงมาก และดูดสารพิษจำพวกเบนซีนได้ถึงร้อยละ 90 และดูดฟอร์มัลดีไฮด์ได้ด้วย

5. เดหลี (Peace Lily)


เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูง 30 – 60 เซนติเมตร มีใบสีเขียวเข้มมันเป็นวาว ดอกเป็นช่อสีขาว หรือขาวแกมเหลือง กาบหุ้มช่อดอกมีสีขาว คล้ายดอกหน้าวัว ต้องการแสงแดดอ่อนรำไร ปลูกได้ภายในอาคาร แม้จะมีความชื้นต่ำ และรับแสงจากหลอดไฟฟ้า

การดูแล ต้องการความชื้นสูง จึงควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ และมากขึ้น ในช่วงที่มีอากาศร้อน แต่ถ้าอากาศเย็นต้องลดปริมาณการรดน้ำ เป็นไม้ที่คายความชื้นสูง ใช้ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1 - 2 ครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบจะช่วยป้องกันแมลงได้อุณหภูมิที่เหมาะสม 16 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์อาซีโตน ไตรคลอโรเอททีรีน เบนซีน และฟอร์มัลดีไฮด์ได้มาก

6. ยางอินเดีย (Rubber Plant)


มีลำต้นตั้งตรง ลักษณะเด่นอยู่ที่ใบ มีลักษณะกลมรีปลายแหลม ใบหนาสีเขียวเข้ม เป็นมันวาว ถ้าปลูกกลางแจ้งจะสูงได้ถึง 30 เมตร ถ้าปลูกในอาคารจะสูงไม่มาก เป็นไม้ที่ชอบแสงแดดแต่เจริญได้ดีในสภาพแสงน้อย

การดูแล เจริญได้ดีในดินร่วนซึ่งระบายน้ำได้ดีปลูกง่ายทนทาน เป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก แต่คายความชื้นได้มาก ไม่ชอบชื้นแฉะ แต่ไม่ควรปล่อยให้ดินแห้งเกิน เป็นไม้ที่มีใบสวยงาม จึงควรหมั่นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดให้ใบเป็นมันวาว ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดทุก 1 – 2 เดือน อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นปานกลางถึงมาก และดูดสารพิษได้มาก

7. ปาล์มไผ่ (Bamboo Palm)


เป็นพืชตระกูลปาล์มที่มีหน่อแตกเป็นกอ ลำต้นมีขนาดเล็ก มีข้อปล้องสีเขียวเห็นได้ชัดเจนคล้ายต้นไผ่ ทั้งลำต้นและใบสูงเพียง 1.5 - 2 เมตรใบเป็นใบเดี ่ยว เรียวแหลม สีเขียวมัน ออกตรงข้ามกันเป็นคู่และอ่อนช้อย เจริญเติบโตช้า เลี้ยงง่าย ทนทาน และทนต่อแมลง เป็นไม้กึ่งแดด ร่มรำไร จึงปลูกได้ภายในอาคาร

การดูแล ต้องการน้ำพอสมควรถึงมาก โดยเฉพาะช่วงกำลังเจริญเติบโต ถ้าปลูกในอาคารรดน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 16 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษจำพวกเบนซีนไตรคลอโรเอทธิลีน และฟอร์มัลดีไฮด์ได้ดี

8. พลูด่าง (Golden Pothos หรือ Devil’s Ivy)


ใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจสีเขียวสดสลับกับสีเหลืองนวล เป็นไม้กึ่งแดดและร่มรำไร จึงปลูกได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร อาจได้แสงจากหลอดไฟก็ได้

การดูแล เจริญได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ควรให้น้ำอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนอาจให้มากกว่านี้โดยพิจารณาจากผิวหน้าของดิน ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำอย่างเจือจางรดเดือนละ 1 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นปานกลาง และดูดสารพิษได้มาก

9. บอสตันเฟิร์น (Boston Fern)


ก้านใบแข็งโค้งออกและทิ้งตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ใบขึ้นหนาทึบไม่มีดอก เป็นพืชกึ่งแดด ปลูกได้ภายในอาคารและนอกอาคาร

การดูแล หมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอแต่อย่าให้แฉะ ควรฉีดพ่นละอองน้ำตามใบ เป็นพืชที่คายความชื้นให้ภายในอาคารได้เป็นอย่างดีใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำรดเดือนละ 1 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษได้มากโดยเฉพาะฟอร์มัลดีไฮด์

10. ซุ้มกระต่าย (Lily Turf)


ซุ้มกระต่ายหรือเศรษฐีเรือนแก้ว มีลักษณะต้นขึ้นเป็นกอ ใบยาวได้ถึง 45 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวเป็นเส้นแคบยาว ปลายใบอ่อนโค้งเป็นพุ่ม มีดอกเล็ก ๆ เป็นช่อสีขาวและสีม่วง ชอบแสงแดดจัดและรำไร ปลูกภายในบ้านได้

การดูแล เจริญได้ดีในดินทุกชนิด ชอบความชื้นปานกลาง การให้ปุ๋ยควรเป็นปุ๋ยชนิดเม็ดสำหรับใบไม้ หรือให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำรดเดือนละ 1 - 2 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 16 – 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นปานกลาง และดูดสารพิษโดยเฉพาะแอมโมเนียได้

11. ไทรใบเล็ก (Ficus Alii)


เป็นพันธุ์ไม้ตระกูลเดียวกับยางอินเดีย ต่างกันที่ลักษณะของใบที่เรียวเล็กปลายแหลม ขอบใบเรียบและใบเป็นมันเงา เป็นพันธุ์ไม้พุ่มขนาดกลาง เป็นพืชที่ทนทาน อยู่ได้ในที่ที่มีแสงแดดอ่อนจนถึงแสงแดดจัดหรือกลางแจ้ง

การดูแล ชอบดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทราย ต้องการปริมาณน้ำปานกลางจนถึงมาก ควรให้น้ำ 3 – 5 วัน/ครั้ง ไม่ชอบน้ำขัง ถ้าน้ำมากไปใบจะออกสีเหลือง ชอบความชื้นปานกลางควรใช้ปุ๋ยคอกหรือ ปุ๋ยหมักอัตรา 0.5 : 2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4 - 5 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 16 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษจากอากาศได้มาก

12. วาสนาอธิษฐาน (Cornstalk Plant)


มีลำต้นตั้งตรง มีสีน้ำตาลอ่อน สูงได้ถึง 5 - 6 เมตร เป็นใบเดี่ยวมีลักษณะเรียวยาว ใบจะแตกจากหน่อที่ปลายลำต้น ปลายแหลมโคนสอบเข้าหาใบ ซึ่งเป็นกาบติดกับลำต้นพื้นใบสีเขียว มีลายสีเหลืองพาดกลางไปตามความยาวของใบ ดอกออกเป็นช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอม ชอบแสงแดดจัด แต่อยู่ได้ในที่ร่มรำไร ปลูกในอาคารได้

การดูแล หมั่นรดน้ำเพื่อให้ดินชุ่มน้ำอยู่เสมอแต่ไม่แฉะใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1 ครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบโดยใช้ผ้าเช็ดช่วยป้องกันแมลงจำพวกเพลี้ยได้เป็นไม้ที่ขึ้นได้ในดินทุกชนิด อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 – 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นปานกลางถึงมาก และดูดสารพิษภายในอาคารจำพวกฟอร์มัลดีไฮด์ได้มีประสิทธิภาพ

13. เข็มริมแดง (Dragon Tree)


ลักษณะใบแหลมเป็นพุ่มแตกออกจากตอหรือลำต้นที่ตั้งตรง เป็นพืชที่ทนทานมาก ใบมีทั้งเขียว เหลือง แดงอยู่ในใบเดียวกัน ขอบใบเป็นสีแดง ถ้าไม่ตัดยอด ลำต้นสูงไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าตัดยอด กิ่งใหม่จะแตกออกจากตอเดิม ใบที่แตกออกจะเป็นพุ่มดูสวยงามยิ่งขึ้น ชอบน้ำมากแต่ไม่ถึงกับแฉะ จึงควรหมั่นฉีดละอองน้ำให้แก่ใบ

การดูแล เลี้ยงง่าย ทนทาน หรือสังเกตจากความแห้งของผิวหน้าดิน ควรตั้งไว้ในที่แสงแดดส่องถึง เจริญได้ดีในดินร่วนซุย ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นปานกลางถึงมาก และดูดสารพิษได้ปานกลางถึงมาก เช่น ไซลีนและไตรคลอโรเอทธิลีน เป็นต้น

14. หนวดปลาหมึก (Schefflera หรือ Umbrella tree)


ใบมีสีเขียวสดเป็นมัน ใบรีขอบใบหยักปลายแหลม ใบแตกออกมาจากกิ่งเดียว โดยแต่ละกิ่งจะมีใบประมาณ 7 – 15 ใบ ซึ่งกางออกคล้ายฝ่ามือ ก้าน ๆ หนึ่งนี้มีใบย่อยอยู่ประมาณ 5 – 12 ใบ แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นทรงพุ่มแน่น เป็นพันธุ์ไม้ที่สูงได้ถึง 3 เมตร เป็นไม้กึ่งร่ม ไม่ชอบแสงแดดจัด จึงปลูกได้ภายในอาคาร

การดูแล ต้องการน้ำมาก ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่ต้องดูแลมาก ปลูกในอาคารรดน้ำสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง และต้องการความชื้นสูง จึงต้องหมั่นฉีดละอองน้ำบ่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงอากาศแห้ง และใช้ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษได้มาก

15.ลิ้นมังกร (Snake Plant)


ลิ้นมังกรมีหลายชนิดมีทั้งลิ้นมังกรสั้น ลิ้นมังกรยาว และลิ้นมังกรลาย หรือเรียกว่า หอกพระอินทร์ ลิ้นมังกรมีลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ในดิน ใบเกิดจากหัวโผล่ออกมาพ้นดินประกอบกันเป็นกอ ลักษณะใบเป็นแท่งกลมยาวหรือใบแบนกว้าง ปลายแหลม แข็ง หนาเป็นมัน ขอบใบเรียบ โค้งงอเล็กน้อยหรือเป็นเกลียว ใบกว้างประมาณ 4 - 7 เซนติเมตร และสูงประมาณ 30 - 60 เซนติเมตร มีลายตามแนวขวางและมีสีเหลืองบริเวณของใบตามแนวยาว ดอกมีสีขาวอมเขียว ชอบแสงแดดปานกลางถึงแสงแดดจัด ปลูกได้ภายในอาคารและภายนอกอาคาร

การดูแล ต้องการปริมาณน้ำและความชื้นปานกลาง ควรให้น้ำ 5 - 7 วันต่อครั้ง ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอัตราส่วน 0.5 - 1 กิโลกรัม/กอ ใส่ปีละ 4 - 5 ครั้ง เจริญได้ดีในดินร่วน เป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนทาน แม้มีแสงน้อยและขาดน้ำเป็นเวลาหลายวัน ไม่ค่อยพบโรคและแมลงรบกวน อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 27องศาเซลเซียส การคายความชื้นน้อย และดูดสารพิษได้น้อยแต่เป็นพืชที่คายออกซิเจนออกมาตอนกลางคืน และดูดคาร์บอนไดออกไซต์เข้าไป จึงเหมาะที่จะ "ปลูกในห้องนอน"

16. กล้วยไม้พันธุ์หวาย (Dendrobium Orchid)


กล้วยไม้พันธุ์หวายเป็นที่รู้จักกันดีและนิยมตัดดอกมาปักแจกันหรือใช้ประดับตกแต่งในวาระต่าง ๆ เป็นไม้ที่ปลูกง่าย กล้วยไม้พันธุ์หวายออกดอกเป็นช่อ มีหลายสี ดอกจะอยู่ได้นานเป็นเดือน ชอบแสงแดดรำไร หรือปานกลาง

การดูแล ให้น้ำวันละ 1 - 2 ครั้ง แต่อย่าให้แฉะเกินไป เพราะจะทำให้เป็นเชื้อรา การให้น้ำมากน้อยแล้วแต่ความชื้นในอากาศ ถ้าอากาศมีความชื้นสูงให้งดรดน้ำให้ปุ๋ยโดยนำปุ๋ยมาละลายน้ำแล้วฉีดพ่นตามรากและใบ เป็นพืชแบบรากกึ่งอากาศ เครื่องปลูกจะเป็นถ่านหรือกาบมะพร้าว อุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 16 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นปานกลาง และดูดสารพิษได้มาก โดยเฉพาะแอลกอฮอล์อาซีโตน ฟอร์มัลดีไฮด์และคลอโรฟอร์ม และเป็นพืชที่คายออกซิเจนออกมาตอนกลางคืน และดูดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป จึงเหมาะที่จะ "ปลูกในห้องนอน"

17. เบญจมาศ (Chrysanthemum)


สูง 0.5 - 1.2 เมตร ผิวเปลือกต้นและกิ่งเป็นลายทางตามแนวยาว ต้น กิ่ง และใบมีกลิ่น ใบเรียงสลับ โคนตัดหรือสอบแหลมคล้ายรูปลิ่มแกมรูปฐานหัวใจ ขอบเว้าเป็นพู 3 - 5 พูรูปกลมหรือ รูปไข่ขอบเว้าเป็นจักหยาบ ๆ ปลายมนและเป็นติ่งเล็ก ๆ แผ่นใบหยาบ เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบสีขาวเด่นชัด ช่อดอกออกที่ปลายกิ่งและตามง่ามใบบน ๆ ดอกวงนอกเป็นดอกเพศเมียมี 1 - 2 ชั้นกลีบรูปลิ้น สีขาว เหลือง หรือม่วง ชอบแดดปานกลางถึงแสงแดดจัดอุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส

การดูแล เจริญได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ำปานกลาง ความชื้นสม่ำเสมอ ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำ รดเดือนละ 1 – 2 ครั้ง ถ้าปลูกในอาคารควรตั้งไว้ให้ได้รับแสงส่องถึง การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษได้มาก เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์เบนซีน และแอมโมเนีย เป็นต้น

18. ไทรย้อยใบแหลม (Weeping Fig)


สูง 5 – 10 เมตร ลักษณะทรงพุ่ม ใบสีเขียวสดห้อยย้อยสวยงาม ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับรูปรีแกมรูปไข่ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ แผ่นใบค่อนข้างหนาเป็นมัน ปลูกนาน ๆ จะมีรากอากาศแตกออกมาตามกิ่งก้านห้อย ย้อยสู่พื้น ถ้าปลูกนอกอาคารใบจะเป็นพุ่มแน่น ถ้าปลูกในอาคารใบจะน้อยลงและต้นจะสูงโปร่ง เป็นพืชที่เจริญเติบโตเร็ว แข็งแรงทนทาน ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ชอบแดดอ่อนจนถึงแสงแดดจัดและปลูกภายในอาคารได้

การดูแล ชอบความชื้นปานกลาง ต้องการน้ำปานกลางจนถึงมาก ถ้าปลูกในอาคารให้รดน้ำ สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำรดเดือนละ 1 ครั้ง เจริญได้ดีในดินร่วนและดินร่วนปนทราย อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษจำพวกฟอร์มัลดีไฮด์ได้ดี

19. เสน่ห์จันทร์แดง (King of Hearts)


เป็นไม้พุ่มเตี้ย มีหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นอยู่เหนือดิน ก้านใบกลม สีเขียว หรือเขียวอมแดงหรือแดงเลือดหมู ใบเป็นรูปหัวใจ กลมโต โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมันหลังใบ ถ้าปลูกในอาคารจะไม่ทนแล้งและโตช้า ชอบร่มหรือรำไร

การดูแล ชอบดินที่มีความชื้นสูง ระบายน้ำได้ดีไม่ชอบน้ำขัง ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก โดยละลายน้ำรดเดือนละ 1 ค รั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสม 16 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษได้มาก เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น

20. สิบสองปันนา (Dwarf Date Palm)


เป็นปาล์มในสกุลอินทผาลัมที ่มีขนาดต้นเล็ก สูง 1.5 - 2 เมตร ส่วนยอดของลำต้น จะมีกาบใบแตกออกมาเป็นสีเขียวเข้ม มีลักษณะเป็นรูปขนนกแผ่โค้งออกมารอบต้นทำให้สวยงาม ชอบแสงแดดจัดถึงปานกลาง

การดูแล ชอบความชื้นสูงจึงต้องดูแลให้ดินชื้นอยู่เสมอเจริญได้ดีในดินร่วนปนทรายในฤดูหนาวให้ฉีดพ่นด้วยละอองน้ำ ใส่ปุ๋ยละลายน้ำทุกสัปดาห์ในช่วงฤดูฝนและฤดูร้อน อุณหภูมิที ่เหมาะสมคือ 16 – 29 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษได้มากโดยเฉพาะไซลีน

21. เยอบีร่า (Gerbara Daisy)


เป็นไม้พุ่มที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ใบเป็นแฉก มีสีเขียวสด ก้านใบและใบมีขนละเอียด ก้านดอกแตกออกจากลำต้นใต้ดินยาวตั้งตรง ดอกมีหลากสีเช่น แดง ส้ม เหลือง ม่วง ชมพูและขาว เป็นต้น ชอบแสงแดดปานกลางถึงแสงแดดจัด แต่ปลูกได้ภายในอาคาร

การดูแล ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง แต่คายความชื้นได้สูง ควรให้น้ำอย่างเพียงพอ ไม่แฉะ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อย่างสม่ำเสมอ อุณหภูมิที่เหมาะสม 16 – 18 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษได้มาก

22. ประกายเงิน (Dracaena Warneckei หรือ Striped Dracaens)


ใบมีสีเขียวที่ริมขอบใบจะมีสีขาว และส่วนอื่นของใบจะมีสีขาวกระจายอยู่ทั่วไป ประกายเงินจะมีใบแคบและยาว ข้อถี่ มีกาบใบหุ้มลำต้นมาก ถ้าปลูกกลางแจ้งจะสูงได้ถึง 5 เมตร ถ้าปลูกในอาคารสูงได้ 3 เมตร เป็นพืชที่ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งร่มรำไรและที่ร่ม และเป็นไม้ที่ปลูกง่ายและทนทาน

การดูแล เป็นพืชที่เลี้ยงง่ายเจริญเติบโตได้แม้มีแสงน้อยและความชื้นน้อยต้องการน้ำมากแต่ไม่แฉะและต้องการความชุ่มชื้น ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1ครั้ง เจริญได้ดีในดินร่วนซุยอุณหภูมิที่เหมาะสม 16 - 24 องศาเซลเซียส การคายความชื้นมาก และดูดสารพิษได้ปานกลาง แต่ดูดสารเบนซีนได้ดี

การปลูกต้นไม้ นอกจากจะสร้างความสวยงามและบรรยากาศให้กับบ้านแล้วนั้น ยังช่วยลดปริมาณสารพิษในอากาศที่สูดหายใจเข้าไปทุกวัน และลดความเสี่ยงจากสารพิษได้อีกด้วย ลองไปหามาปลูกกันดูนะ :)

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

- หนังสือ "เรียนรู้อยู่กับฝุ่น PM2.5" โดยกลุ่มเฝ้าระวังฝุ่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

- หนังสือ "อยู่อย่างไรภายใต้ภาวะมลพิษ ตอน ไม้ประดับดูดสารพิษ" กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

เกาะติดข่าวที่นี่ 

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง