ย้อนรอยข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไทย-เพื่อนบ้าน
ประเทศไทยมีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็เคยเกิดข้อพิพาทเรื่องเขตแดนและพื้นที่ทับซ้อนในหลายกรณี ซึ่งสาเหตุหลักมักเกิดจากปัญหาการกำหนดเขตแดนที่ไม่ชัดเจนมาตั้งแต่ในอดีต และความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิศาสตร์และการเมืองในภายหลัง
หนึ่งในข้อพิพาทที่มีความซับซ้อนและยืดเยื้อมากที่สุด คือกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องพื้นที่ปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบ แม้ศาลโลกจะตัดสินตั้งแต่ปี 2505 ว่าตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่สถานะของพื้นที่รอบปราสาทก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน และมีความพยายามที่จะเจรจาเพื่อหาข้อยุติในการใช้พื้นที่ร่วมกันหรือแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจน แต่ก็ยังมีอุปสรรคและเกิดการปะทะกันอยู่เป็นระยะ
อีกประเด็นหนึ่งที่ไทยและกัมพูชายังมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็คือเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีศักยภาพทางด้านพลังงานและทรัพยากร ทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์และต้องการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ยังหาข้อสรุปในเรื่องการแบ่งเขตและการแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ได้ ข้อตกลง MOU 44 จึงเป็นกรอบการเจรจาที่จะพยายามแก้ไขปัญหานี้ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ไทยยังมีข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนกับมาเลเซียบริเวณสุไหงโกลกในอดีต เนื่องจากมีการอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางส่วนทับซ้อนกัน และเคยนำไปสู่การปะทะกันของกองกำลังทหารหลายครั้ง ก่อนที่จะใช้การเจรจาทางการทูตเพื่อคลี่คลายปัญหา ส่วนกับเมียนมาร์ก็เคยมีการอ้างสิทธิ์เหนือเกาะบางแห่งในทะเลอันดามันที่ทับซ้อนกัน ซึ่งเกี่ยวพันกับการตีความสนธิสัญญาเก่าและการกำหนดเขตแดนทางทะเล ก่อนที่จะตกลงกันได้ในระดับหนึ่งผ่านการเจรจาทวิภาคี
ในกรณีของลาว ก็เคยมีข้อพิพาทเรื่องเกาะดอนในแม่น้ำโขงบางจุด อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำและการกัดเซาะตลิ่ง ซึ่งทำให้เกิดความไม่ลงรอยในเรื่องของกรรมสิทธิ์ในพื้นที่เกาะเหล่านั้น แต่โดยภาพรวมแล้วข้อพิพาทลักษณะนี้กับลาวมักจะสามารถตกลงกันได้ ด้วยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของคนสองฝั่งโขงในหลายมิติ
จะเห็นได้ว่าแต่ละข้อพิพาทมีระดับความรุนแรงและความยากง่ายในการแก้ไขที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการข้อพิพาทเหล่านี้คือการใช้กลไกการเจรจาทางการทูตอย่างสันติ ด้วยความเคารพและเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยเน้นการแสวงหาจุดร่วมและผลประโยชน์ในระยะยาวที่เอื้อต่อทุกฝ่ายเป็นสำคัญ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือข้อพิพาทอื่นๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน สิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายต้องเปิดใจพร้อมรับฟังกัน และมุ่งมั่นหาทางออกร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ผ่านการเจรจา ด้วยเจตนารมณ์ที่จะนำพาภูมิภาคให้บรรลุถึงสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในท้ายที่สุด
ภาพ Freepik
อ้างอิง
กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ.
บทความจาก TCI Journal.