ภาษียานยนต์พุ่ง แต่ราคารถยนต์ยังไม่เพิ่ม เป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่?

◾️◾️◾️
🔴 ขึ้นภาษีรถยนต์ แต่ราคารถไม่ขึ้นตาม อาจเป็นสัญญาณไม่ดีต่อเศรษฐกิจอเมริกัน
แม้บริษัทรถยนต์จะต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนับพันล้านดอลลาร์จากภาษีนำเข้า แต่พวกเขากลับยังไม่ปรับขึ้นราคารถมากนัก ซึ่งแม้จะดูเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภค แต่ก็อาจเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักต่อเศรษฐกิจอเมริกัน
ต้นทุนของผู้ผลิตรถยนต์พุ่งสูงขึ้นอย่างมากหลังรัฐบาลทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ รวมถึงชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าอีก 25% ซึ่งแม้แต่รถยนต์ที่ประกอบในประเทศก็ยังต้องพึ่งพาชิ้นส่วนเหล่านี้
◾️◾️◾️
🔴 ความต้องการตลาดไม่เพียงพอ ขึ้นราคาไม่ได้
แม้ผู้ผลิตรถยนต์อยากจะขึ้นราคาหลายเปอร์เซ็นต์เพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ความต้องการของตลาดกลับไม่เพียงพอ และเมื่อพิจารณาว่าอุตสาหกรรมยานยนต์มีสัดส่วนต่อ GDP ของสหรัฐมากกว่า 4% ความต้องการที่ซบเซาอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะถดถอยของเศรษฐกิจอีกระลอก
เอริน แมคลัฟลิน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากสถาบัน Conference Board ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ความเชื่อมั่นผู้บริโภคคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงจากผลของภาษีนำเข้า ความซบเซาของตลาดกลายเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตตรึงราคาเอาไว้ แม้จะเจ็บปวดก็ตาม
ด้านโจนาธาน สโมก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Cox Automotive เผยว่า ข้อมูลที่มีในตอนนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์ไม่ได้มีแผนจะผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคเต็มจำนวน พวกเขารู้ดีว่าแม้จะขึ้นราคาไป ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่คนจะยอมซื้ออยู่ดี
◾️◾️◾️
🔴 ความต้องการน้อยลงของผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญ
ความต้องการที่ลดลงของผู้บริโภคก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาของรถยนต์ไม่พุ่งสูงขึ้น
เมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์สามารถขายรถใหม่ในสหรัฐฯ ได้ถึง 16 ล้านคัน โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นรถนำเข้า อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Conference Board ระบุว่า ความตั้งใจของผู้บริโภคในการซื้อรถ ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือมือสอง กำลังลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
เพียง 10.5% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันมีแผนจะซื้อรถยนต์ และเพียง 2.4% เท่านั้นที่วางแผนจะซื้อรถใหม่ ซึ่งลดลงจาก 13.1% และ 2.9% ตามลำดับในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพราะผู้คนเริ่มกังวลทั้งเรื่องเงินเฟ้อ ภาษี และแม้แต่เรื่องการจ้างงาน ซึ่งความกังวลเหล่านี้ส่งผลต่อความตั้งใจในการซื้อรถด้วย
ผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ความต้องการจะลดลงต่อไปหรือไม่ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือเปล่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการขายรถ และพวกเขาอาจต้องยอมแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นเอง
ผู้บริหารระดับสูงหลายรายออกมาชี้แจงกับลูกค้าและนักลงทุนว่า แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็จะไม่ส่งผลให้ราคารถพุ่งสูงขึ้นอย่างทันที พวกเขาคาดว่าจะต้องยอมรับกำไรที่ลดลง รวมถึงยอดขายที่อาจตกลงในปีนี้
แมรี่ บาร์ร่า ซีอีโอของ GM กล่าวกับผู้สื่อข่าว CNN เมื่อต้นเดือนว่า คิดว่าราคารถยนต์จะยังคงอยู่ในระดับเดิม
ขณะที่ซีเอฟโอของ Ford กล่าวว่า คาดว่าราคาจะขยับขึ้นเพียง 1-1.5% ในช่วงครึ่งปีหลังจากผลของภาษี
◾️◾️◾️
🔴 ราคาจำหน่ายบางรุ่นสูงขึ้นทีละน้อย
แม้ผู้ผลิตจะยังไม่ได้ประกาศขึ้นราคาอย่างเป็นทางการ แต่ราคาจำหน่ายรถบางรุ่นก็เริ่มสูงขึ้นอย่างช้า ๆ
ข้อมูลจาก Edmund’s ระบุว่า ในเดือนเมษายน ราคาจำหน่ายเฉลี่ยที่ผู้ผลิตแนะนำ หรือที่เรียกกันว่า “ราคาสติ๊กเกอร์” ขยับขึ้นทะลุ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.64 ล้านบาท เป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ โดยแตะที่ 50,408 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.66 ล้านบาท
ส่วนหนึ่งของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากประเภทของรถยนต์ที่มีจำหน่าย เนื่องจากภาษีทำให้ผู้ผลิตเลิกผลิตรุ่นที่มีราคาถูก และกำไรน้อย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง นอกจากนี้ ผู้ผลิตอาจไม่ส่งรถนำเข้าราคาถูกมายังสหรัฐฯ อีกต่อไป เพราะไม่สามารถผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
ผู้เชี่ยวชาญยังคาดว่า ภาษีจะทำให้จำนวนรถใหม่ในตลาดสหรัฐฯ ลดลงตามกลไกของอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาขยับขึ้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ยังพยายามไม่กล่าวถึงการขึ้นราคา เพราะเกรงว่าจะทำให้ลูกค้าลังเล และอาจสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งขณะนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงกฎภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่อง
แต่แน่นอนว่า บางบริษัทก็เริ่มขยับราคาบางรุ่นขึ้นแล้ว ล่าสุด Ford แจ้งกับตัวแทนจำหน่ายเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า จะปรับเพิ่มราคาสติกเกอร์เพิ่มอีกตั้งแต่ 600-2,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นอีกราว 19,800-65,900 บาท สำหรับรถ 3 รุ่นที่นำเข้าจากเม็กซิโก ได้แก่ Mustang Mach-E, รถกระบะ Maverick และ Bronco Sport SUV
Ford ยืนยันว่าการปรับราคานี้จะไม่กระทบกับรถที่มีอยู่ในสต็อกของดีลเลอร์ และไม่ได้ปรับขึ้นเต็มจำนวนตามต้นทุนภาษี แต่ก็ยอมรับว่าภาษีมีส่วนสำคัญต่อการขึ้นราคาครั้งนี้
แม้บริษัทรถยนต์หลายรายจะบอกว่ายังไม่เห็นแนวโน้มการขึ้นราคาครั้งใหญ่ในระยะนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะไม่ขึ้นราคาในอนาคต เพราะราคาขายในอุตสาหกรรมนี้มีการเปลี่ยนแปลงแทบทุกเดือน บางครั้งถี่กว่านั้น ซึ่งผู้ผลิตก็มักปรับราคาตามตลาดอยู่ตลอดเวลา