รีเซต

กต.แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ ไทยอดทนและพยายามใช้สันติวิธีมาโดยตลอด มอบอำนาจกองทัพควบคุมจุดผ่านแดน

กต.แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ ไทยอดทนและพยายามใช้สันติวิธีมาโดยตลอด มอบอำนาจกองทัพควบคุมจุดผ่านแดน
TNN ช่อง16
7 มิถุนายน 2568 ( 19:01 )
22

ล่าสุด ระบุว่า จากเหตุปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ฝ่ายไทยมีความจำเป็นต้องป้องกันตนเอง และปกป้องอธิปไตยของประเทศ  ซึ่งเป็นไปอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติสากล 


นิรกร เผยต่อไปว่า ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ฝ่ายไทยใช้ความอดทนอดกลั้น มุ่งแก้ไขด้วยสันติวิธี เรียกร้องให้กัมพูชาพยายามลดความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดความขัดแย้งให้อยู่เพียงแค่จุดเกิดเหตุ โดยมีการพูดคุยและหารือในทุกระดับ ทั้งระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกองทัพบกของทั้ง 2 ประเทศ บนพื้นฐานของความสุจริตใจ และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยและกัมพูชา ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายก็เห็นพ้องแนวทางแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้วมาโดยตลอด 


เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้ง 2 ประเทศ พบหารือที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยฝ่ายไทยได้ย้ำอีกครั้ง ถึงความจำเป็นในการลดระดับความตึงเครียดบริเวณชายแดน และเสนอให้มีการปรับกำลังทหารให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเดิมก่อนเกิดเหตุขัดแย้ง เพื่อลดโอกาสการปะทะทางทหาร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ 


“อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่ฝ่ายกัมพูชาได้ปฏิเสธทันทีต่อข้อเสนอในการปรับกำลัง และยังเสริมกำลังทหารในพื้นที่ชายแดน และปฏิเสธจะปฏิบัติตาม MOU 2543  บนพื้นฐานของการเจรจาแบบสันติวิธี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะยิ่งเพิ่มความตึงเครียด และทำให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น”  


“การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการขาดเจตนารมณ์ และความจริงใจที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทย ในการที่จะลดและระงบัความตึงเครียดที่มีอยู่เดิม และทำให้กลับมาปกติ” โฆษกกระทรวงต่างประเทศ กล่าว  


ดังนั้น เป็นไปตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย และความมั่นคงแก่ประชาชนไทยตามแนวชายแดน ฝ่ายไทยจำเป็นต้องพิจารณาใช้มาตรการควบคุมการเปิด-ปิด จุดผ่านแดนไทย-กัมพูชาซึ่งความเข้มข้นของมาตรการ จะเป็นไปตามระดับความตึงเครียดของสถานการณ์อันเกิดจากความร่วมมือของฝ่ายกัมพูชาในการแก้ไขปัญหา


โดยที่ประชุมความมั่นคงแห่งชาติ มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และภาคที่ 2 เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์วิธีและเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นในการผ่านแดน บริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภท ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 


ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำว่า การดำเนินการของไทย มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อรักษาความปลอดภัยประชาชน ทั้งชาวไทยและกัมพูชาที่อาศัยอยู่พื้นที่บริเวณชายแดน โดยฝั่งไทยจะคำนึงและระมัดระวังไม่ให้มาตรการดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมทั้งด้านมนุษยธรรม

ขณะที่ พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ. ดังใจ สุวรรณกิตติ  โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่า กระทรวงกลาโหมมีหน้าที่รับและดำเนินตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 


“ที่ผ่านมา ท่าน (รองนายกฯ-รมว.กลาโหม) ไม่ได้ละเลย หากแต่ท่านได้อดทนและพยายามใช้การเจรจาอย่างสันติวิธี และยังกำชับให้หน่วยในพื้นที่เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการรุกล้ำเพิ่มขึ้นอีกเด็ดขาด แต่ในกระบวนการความพยายามที่ผ่านมา กลับได้รับการตอบสนองไม่เป็นทางบวก เลยต้องมีการปรับมาตรการต่าง ๆ” พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ. ดังใจ กล่าว 


ส่วนทางด้าน พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยว่า ในส่วนของกองทัพบกมีการกำหนดอำนาจให้ผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่ กองกำลังสุรนารี และกองกำลังบูรพา มีอำนาจในการควบคุมการเปิดปิด บริเวณจุดผ่านแดน 

แนวทางปฏิบัติตามคำสั่งควบคุมจุดผ่านแดนไทย–กัมพูชา ดำเนินการเป็นขั้นตอนตามสถานการณ์ในพื้นที่ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ดังนี้ 


ขั้นที่ 1 จำกัดการผ่านแดนโดยอนุญาตเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่น ๆ โดยจำกัดและเพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น นักพนัน หรือกลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย


ขั้นที่ 2 ปรับลดช่วงเวลาในการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน พร้อมทั้งกำหนดวัน–เวลาการเข้า–ออกอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวของบุคคลและกิจกรรมในพื้นที่ชายแดน


ขั้นที่ 3 ปิดจุดผ่านแดนบางจุด (Selective Closure) โดยพิจารณาจากจุดที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีข้อมูลด้านความมั่นคงที่อาจนำไปสู่การรุกล้ำ หรือการก่อเหตุจากฝ่ายตรงข้าม


ขั้นที่ 4 ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดนในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤต หรือมีการรุกรานอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมสถานการณ์ในระดับสูงสุด


โฆษกกองทัพบก เผยว่า การใช้มาตรการดังกล่าว แต่ละพื้นที่จะดำเนินการขั้นตอนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับดุลยพินิจเจ้าหน้าที่ แต่จะคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่ชายแดนเป็นหลัก 


สำหรับประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความมั่นคง เช่น นักศึกษาที่เดินทางไปเรียน ผู้ป่วย ฯลฯ อยู่ในข้อยกเว้นตามประกาศนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง