เทียบอัตราภาษีทรัมป์ 14 ประเทศ ไทยยังติดกลุ่มสูงสุด?

“ทรัมป์” เผยภาษีตอบโต้รอบใหม่ ไทยโดนเต็ม 36% เท่าเดิม
8 กรกฎาคม 2568 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ แต่ยังเป็นวันที่ 7 กรกฎาคมในเวลาประเทศไทย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social พร้อมแนบภาพจดหมายที่ส่งถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย เพื่อยืนยันอัตราภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าใหม่ โดยกำหนดเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
ในจดหมายที่ลงนามโดยทรัมป์ระบุอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดในอัตรา 36% และถือเป็นอัตราที่ “น้อยกว่าที่ควรจะเป็น” เมื่อเทียบกับขนาดการขาดดุลการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่าเป็นผลจากอุปสรรคทางการค้าและนโยบายภาษีศุลกากรของไทย
ไทม์ไลน์ จากคำประกาศ 2 เม.ย. สู่จดหมาย 7 ก.ค.
2 เมษายน 2568 – ประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ประเทศคู่ค้า 14 ประเทศ โดยตั้งอัตราสูงสุดไว้ที่ 48% และระบุวันมีผลเบื้องต้นคือ 9 กรกฎาคม
ต่อมาในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม – ฝ่ายทำเนียบขาวโดยโฆษกแคโรไลน์ เลวิตต์ เปิดเผยว่า ทรัมป์เตรียมออกคำสั่งพิเศษเลื่อนวันมีผลจริงออกไปเป็น 1 สิงหาคม พร้อมยืนยันว่าจดหมายแจ้งเตือนจะถูกส่งออกไปก่อนวันครบกำหนดใหม่
7 กรกฎาคม 2568 – ทรัมป์เริ่มทยอยโพสต์จดหมายลงนามแล้วหลายฉบับ โดยเริ่มจากกลุ่มประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย คาซัคสถาน แอฟริกาใต้ ลาว และเมียนมา จากนั้นในวันเดียวกัน ได้โพสต์อีก 7 ฉบับรวมถึง ประเทศไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย บังกลาเทศ ตูนิเซีย เซอร์เบีย และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
ถ้อยคำในจดหมาย แข็งกร้าวแต่เปิดทางเจรจา
แม้เนื้อหาหลักของจดหมายจะประกาศใช้มาตรการภาษีอย่างชัดเจน ทรัมป์ยังใช้ภาษาที่มีทั้งความจริงใจและคำเตือนทางเศรษฐกิจ เช่น “เราอยากร่วมมือกับคุณอีกหลายปีข้างหน้า” แต่ก็ระบุว่า หากประเทศไทยหรือประเทศอื่นใด เลือกตอบโต้โดยการตั้งภาษี ทางสหรัฐฯ ก็จะ เพิ่มภาษีให้อัตโนมัติจากฐานเดิม 36%
ที่สำคัญ จดหมายยังเสนอช่องทางลดภาษีลงได้ หากประเทศเหล่านั้น “เปิดตลาด ยกเลิกกำแพงภาษี และอุปสรรคทางการค้า” ทรัมป์ระบุว่าภาษีสามารถ “ปรับขึ้นหรือลง” ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในอนาคต
ประเทศ | อัตราภาษี (2 เม.ย.) | อัตราภาษี (7 ก.ค.) | การเปลี่ยนแปลง |
---|---|---|---|
ไทย | 36% | 36% | คงที่ |
ลาว | 48% | 40% | ลดลง 8% |
เมียนมา | 44% | 40% | ลดลง 4% |
กัมพูชา | 49% | 36% | ลดลง 13% |
บังกลาเทศ | 37% | 35% | ลดลง 2% |
เซอร์เบีย | 37% | 35% | ลดลง 2% |
อินโดนีเซีย | 32% | 32% | คงที่ |
บอสเนียฯ | 35% | 30% | ลดลง 5% |
แอฟริกาใต้ | 30% | 30% | คงที่ |
ญี่ปุ่น | 24% | 25% | เพิ่มขึ้น 1% |
คาซัคสถาน | 27% | 25% | ลดลง 2% |
มาเลเซีย | 24% | 25% | เพิ่มขึ้น 1% |
เกาหลีใต้ | 25% | 25% | คงที่ |
ตูนิเซีย | 28% | 25% | ลดลง 3% |
จากตารางข้างต้นจะเห็นว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในรอบนี้คือ ลาวและเมียนมา ซึ่งแม้อัตราภาษีจะลดลงจากรอบแรก แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 40% ขณะที่ ไทยและกัมพูชา เป็นกลุ่มที่ยังคงถูกตั้งภาษีในอัตราสูงสุดคือ 36% โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากประกาศรอบแรกสำหรับไทย
ประเมินผลกระทบ ไทยอยู่ตรงไหนในกลุ่มภาษี?
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลทั้งหมด จะพบว่าแม้ไทยจะไม่ถูกเพิ่มภาษีเพิ่มเติมในรอบล่าสุด แต่การคงอัตรา 36% สำหรับสินค้าส่งออกทั้งหมดก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ “สูงมาก” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ที่อยู่ระดับ 25% เท่านั้น
ข้อกังวลหลักคือ สินค้าไทยที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป ยางพารา ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอาหารแปรรูป อาจต้องเผชิญกับต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ไปให้คู่แข่งจากประเทศที่ได้รับภาษีในระดับต่ำกว่า
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
