ลานีญามาเยือน เตรียมรับมือวิกฤตน้ำ สู้ภัยพิบัติอย่างไรให้ปลอดภัย
มหาอุทกภัย 54 บทเรียนสำคัญ เตือนสติคนไทย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี สายน้ำเชี่ยวกรากไหลบ่าท่วมผืนแผ่นดิน 65 จังหวัดจมบาดาล ผู้คนกว่า 13 ล้านชีวิตได้รับผลกระทบ บ้านพังพินาศ 813 ศพ และมหันตภัยยังกลืนกินผืนไร่นาเกษตรกรรมกว่า 11 ล้านไร่จนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งที่ถูกน้ำท่วมจนเสียหายกว่า 2.4 แสนล้านบาท ความสูญเสียในครั้งนั้นได้จารึกเป็นบาดแผลและบทเรียนสำคัญ ให้เราตระหนักถึงพลังอำนาจของธรรมชาติ และการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์วิกฤตที่ไม่อาจคาดเดาได้
ลานีญา ตัวการสำคัญที่ต้องจับตา
และแล้วในปี 2567 ก็มีการประกาศเตือนการมาเยือนของ "ลานีญา" อีกครั้ง ปรากฏการณ์ภูมิอากาศที่เกิดจากกระแสลมพัดพาความร้อนและความชื้นจากผืนน้ำแปซิฟิกตะวันตกมุ่งหน้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคเขตร้อนชื้นแห่งนี้จึงมีสภาพอากาศแปรปรวน ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยฝนฟ้าคะนอง
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกมาเปิดเผยถึงการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนที่จะตกหนักถึง 200 มิลลิเมตรต่อเดือน ในช่วงกรกฎาคมถึงกันยายน และอาจส่งผลยาวถึงสิ้นปี นั่นหมายความว่า อุทกภัยวิปโยคอาจจะมาเยือนอีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากจะหลีกเลี่ยง เราจึงต้องเตรียมพร้อมเพื่อก้าวข้ามวิกฤตให้ได้อย่างปลอดภัย
ลานีญากับภาคเกษตรกรรม พืชผลเสียหาย ผู้บริโภคเดือดร้อน
เมื่อฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนเกินขีดจำกัดที่ผืนดินจะรับไหว ย่อมสร้างหายนะต่อพืชพันธุ์เกษตรกรรม ดินถูกชะล้างจนขาดความอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ยืนต้นผุพังจากรากถูกกัดเซาะ ผลผลิตผักผลไม้จมน้ำตายเน่าเปื่อย
ยิ่งไปกว่านั้น ดร.พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวทิ้งท้ายว่า ความชุ่มชื้นที่สูงส่งผลต่อการระบาดของเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืช ทำให้เกษตรกรต้องสูญเสียผลผลิตไปอีกมหาศาล ราคาพุ่งสูงขึ้นจากสินค้าขาดตลาด กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงเป็นความเดือดร้อนที่ลุกลามไปทั่วทั้งระบบ
ความเสี่ยงของอุตสาหกรรม เมื่อน้ำมาเยือน
ไม่เพียงแต่ภาคเกษตรกรรมเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรมก็เผชิญความเสี่ยงไม่น้อยไปกว่ากัน นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวเตือนว่า หากน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก เครื่องจักรถูกทำลาย วัตถุดิบเสียหาย และต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม อีกทั้งยังกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ทำให้ขาดแคลนสินค้าและชิ้นส่วนในตลาดโลกได้
ดังนั้น กนอ.จึงต้องกำชับให้นิคมอุตสาหกรรมทั้ง 68 แห่งทั่วประเทศ เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งได้สร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยงสูงอย่างนิคมฯ บางปะอิน นิคมฯ นครหลวง และนิคมฯ ไฮเทค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามมาตรการรับมือทั้ง 8 ข้อ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายรุนแรงซ้ำรอยปี 2554 อีก
ภาครัฐ เร่งออกมาตรการเชิงรุก ลดผลกระทบรอบด้าน
ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการเชิงรุกเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) อนุมัติโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้งอย่างเป็นระบบ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและประธาน กนช. เน้นย้ำถึง 10 มาตรการสำคัญ ทั้งการเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง การเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องมือ กำลังคน และการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ให้ทุกฝ่ายบูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ส่งสัญญาณถึงความสำคัญของการบริหารน้ำเพื่อตอบโจทย์ทุกภาคส่วน สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและต่างชาติอีกด้วย
ประชาชนต้องปรับตัว สร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ภัยพิบัติก็ยากที่จะควบคุมได้ทั้งหมด นายประสาร เกษตรกรจากจังหวัดอ่างทอง ได้เล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ว่า แม้จะสูญเสียผลผลิตมหาศาล แต่ด้วยการปรับตัว ทั้งการปลูกพืชตามฤดูกาล เก็บสำรองอาหารน้ำดื่ม และการเฝ้าติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็ทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตได้ในที่สุด
ขณะที่ คุณสมฤทัย แม่บ้านจากชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็แนะนำให้เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินให้พร้อมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรือ เสื้อชูชีพ ไฟฉาย วิทยุ ยา อุปกรณ์ปฐมพยาบาล ให้จัดวางเป็นระเบียบ หยิบใช้ได้ทันที ควบคู่ไปกับการสำรวจบ้านเรือนให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง ตัดแต่งกิ่งไม้ กำจัดขยะสิ่งกีดขวางทางน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เพื่อป้องกันตัวเองจากสถานการณ์เลวร้าย
บทส่งท้าย ร่วมใจสู้ภัย ใช้น้ำให้เกิดประโยชน์
ท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าลานีญาจะเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างปัญหาและความเสียหายเป็นวงกว้าง อาจทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในช่วงฤดูฝน แต่ปริมาณน้ำส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นก็อาจถูกกักเก็บไว้ใช้บรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงแล้งได้ สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบตลอดทั้งปี ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราผ่านพ้นไปได้ด้วยกัน พร้อมทั้งปรับตัวและเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอนาคต
ที่มา
สทยช. / กนช.
เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN