เลขาสมช.เผยเหตุผล ยังห้ามทำสวยใบหน้า แจงชัดปมเดินทางข้ามจว.
เลขาสมช.เผยเหตุผล ยังห้ามทำสวยใบหน้า แจงชัดปมเดินทางข้ามจว. ขู่พบกิจการหรือกิจกรรมใดไม่ปฏิบัติเป็นเหตุให้มีการแพร่เชื้อวงกว้างสั่งปิดทันที
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 16 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แถลงถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตราการในระยะที่สองว่า ที่ประชุมศบค.ได้อนุมัติให้ผ่อนคลายในระยะที่ 2 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก่อนที่จะเสนอผ่อนคลายได้ประเมินผลจากระยะที่หนึ่ง ซึ่งเราได้ทำไว้ค่อนข้างดี ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงตามลำดับ รวมทั้งความร่วมมือจากประชาชนอยู่ในเกณฑ์สูงมาก ซึ่งเป็นผลดี ทำให้ผ่อนคลายในระยะที่ 2 เกิดขึ้น โดยออกเป็นข้อกำหนดฉบับที่ 7 เป็นที่เรียบร้อย
เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เลขาฯ สมช.กล่าวว่า การผ่อนคลายข้อกำหนดและมาตรการในระยะที่ 2 แม้จะเป็นกิจกรรมหรือกิจการที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่เนื่องจากมีผลต่อเรื่องของเศรษฐกิจ และสังคมค่อนข้างสูงมาก ซึ่งหมายความว่าเรากำลังเสี่ยง ที่จะให้มีความเสี่ยงมากขึ้นต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุข แต่เราก็พยายามจะให้ผ่อนปรนเพื่อให้การดำรงชีวิตมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้ต่อไป
“ดังนั้นในทุกระยะที่ผ่อนปรน ไม่ว่าจะเป็นระยะที่ 2-3-4 ที่จะดำเนินต่อไปจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่เป็นความเสี่ยงที่มีการใคร่ครวญแล้ว ว่าต่อให้มีความเสี่ยงก็ยังอยู่ในความสามารถที่เราจะควบคุมได้ มีประสิทธิภาพด้านสาธารณสุขยังคงมีขีดความสามารถที่จะรองรับความเสี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าหากเราพบว่ากิจการใดหรือกิจกรรมใดก่อให้เกิดการแพร่เชื้อ สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ สำรวจว่ากิจกรรมเหล่านั้นแพร่เชื้อแล้วอาจจะต้องปิดเป็นจุดหรือปิดเป็นรายกิจกรรม ขึ้นอยู่กับความหนักเบาของตัวเลขการแพร่เชื้อ เพราะฉะนั้นกิจกรรมที่เปิดไปแล้วนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม 1 หรือ 2 ถ้าเกิดพบว่าเป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อก็สามารถเปลี่ยนได้หรือเพิ่มมาตรการเข้มข้นได้” เลขาฯสมช.กล่าว
เมื่อถามว่าการปลดล็อกระยะ 2 หลังวันที่ 17 พ.ค. ประชาชนยังสามารถเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นปกติหรือไม่ หรือยังคงเข้าเงื่อนไขการกักตัวอยู่เช่นเดิม พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า มาตรการบังคับที่ออกควบคู่มากับการผ่อนคลายในระยะที่ 2 นี้ ยังคงใน 3 มาตรการหลัก คือ เรื่องการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก น้ำ อากาศ ยังคงมีความเข้มข้นเช่นเดิม การเดินทางเข้าประเทศก็ยังคงเข้มข้นในระดับเดิม หมายความว่าเรายังคงป้องกันไม่ให้การแพร่เชื้อเกิดจากการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นการอนุญาตให้อากาศยานบินเข้าประเทศก็ยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังไม่อนุญาตให้เครื่องบินพาณิชย์เข้ามา
ประการที่สองคือ การปรับระยะเวลาเคอร์ฟิว หรือการออกนอกเคหสถานได้ขยับเวลาออกอีก 1 ชั่วโมงคือระหว่างช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 04.00 น. และที่สำคัญยังคงเชิญชวนให้ชะลอการเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัดอยู่ แต่เข้าใจดีถึงความจำเป็นของประชาชนที่อาจต้องเคลื่อนย้ายและเดินทางข้ามจังหวัดก็ไม่ได้ถึงกับห้ามเด็ดขาด เพียงแต่เชิญชวนให้อยู่บ้าน เพราะบ้านยังคงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
ดังนั้นการเดินทางข้ามจังหวัดยังสามารถทำได้ แต่ขอให้มีความจำเป็นอย่างแท้จริง และเมื่อไปถึงปลายทางก็ต้องดูอีกทีว่าปลายทางบางจังหวัดมีมาตรการที่เข้มข้นทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการของจังหวัดนั้นๆกำหนด
เมื่อถามว่ามีข้อเสนอแนะจากประชาชนว่าอยากให้ปรับเวลาเคอร์ฟิว เป็นช่วงเวลา 23.00-03.00 น. เพื่อความสะดวกในการประกอบอาชีพ เลขา สมช.กล่าวว่า เรื่องนี้ขอรับไว้เป็นข้อพิจารณาในระยะต่อไปก็คงจะพิจารณาลดระยะเวลาเคอร์ฟิวลง ก็ขอรับตัวเลขข้อเสนอนี้ไว้ รวมทั้งตัวเลขอื่นด้วย แต่ขออนุญาตดูสถานการณ์อีกครั้ง
เมื่อถามถึงข้อกำหนดที่อนุญาตให้คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานเสริมความงาม ร้านทำเล็บสามารถเปิดได้ แต่ทำได้เฉพาะเรือนร่างและผิวพรรณ ไม่รวมการเสริมความงามบริเวณใบหน้า ซึ่งแตกต่างจากการอนุญาตให้สามารถทำฟัน และทันตกรรมต่างๆได้
เลขาสมช.กล่าวว่า หลักการสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนปรนระยะที่ 1 หรือ 2 นั้น เรายอมเสี่ยงในบางเรื่อง เพื่อชดเชยกับความสะดวกสบายของประชาชนและ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นกรณีที่อนุญาตให้สามารถทำฟันหรือทันตกรรมต่างๆ ได้ เพราะถือว่าเป็นกิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิต ซึ่งเราก็ยอมแต่ก็ต้องมีมาตรการที่เข้มงวด
แต่ในเรื่องการเสริมความงาม เรายอมให้ทำเฉพาะที่ไม่ใช่ใบหน้าเหตุผล เพราะการเสริมความงามบริเวณใบหน้านั้นมีความเสี่ยง เพราะการติดเชื้อจากดวงตา และบริเวณอื่นๆ ที่อยู่บนใบหน้าก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ด้วยเหตุผลนี้เราจึงยังต้องคงมาจากการล้างมือไว้เป็นประจำและได้รับการบอกอยู่เสมอว่าอย่าเอามือมาจับใบหน้า และที่สำคัญในทุกๆกิจกรรมจะสังเกตว่าจะมีมาตรการควบคุมคือการจำกัดใช้เวลาในกิจกรรมนั้นๆ ให้น้อยที่สุดเพราะถ้ามีเวลามากขึ้นโอกาสในการติดเชื้อก็จะมากขึ้นเช่นกัน
เมื่อถามย้ำว่ากรณีนี้จะมีการพิจารณาในเร็วๆ นี้หรือในระยะที่ 3 หรือไม่ พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ก็ขอรับไว้พิจารณาในระยะที่ 3 และ 4 ต่อไป ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับคณะแพทย์ว่าจะพิจารณาซึ่งถ้าคุณหมออนุญาตทางตนก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
เมื่อถามว่ามีประชาชนแจ้งเข้ามาว่าขณะนี้มีร้านค้าและร้านอาหารในซอยที่มีการขายของจำนวนมากแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไม่มีมาตรการป้องกันไม่ตั้งจุดตรวจอุณหภูมิและเว้นระยะห่าง ทาง ศบค.รัฐบาล และ กทม.จะเข้าไปตักเตือนและดำเนินการตรวจสอบอย่างไร เลขาสมช.กล่าวว่า อาจต้องขอชื่อร้านและพื้นที่บริเวณดังกล่าว ขณะนี้เรามีเจ้าหน้าที่พร้อมเข้าไปตรวจสอบในทุกมาตรการที่ออกไป ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเจ้าหน้าที่จากกรุงเทพมหานครและเจ้าหน้าที่ของจังหวัดที่แต่งตั้งขึ้นมา ในทุกมาตรการจะต้องมีคนเข้าไปตรวจแต่อาจจะไม่ทั่วถึงบ้างเพราะเจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด
“ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนว่ามาตรการที่ออกไป ซึ่งวันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีจะลงนามออกมาตรการกำกับกิจกรรม หรือกิจการที่เราผ่อนคลายในเฟสที่ 2 ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจ หากพบเรื่องความบกพร่องครั้งแรก อาจใช้วิธีการตักเตือน แต่หากยังไม่ปรับปรุงอีกก็เป็นไปได้ที่จะปิดเป็นจุดๆไป และถ้ากิจกรรมเหล่านั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าทำให้การแพร่ระบาดของโรคเป็นวงกว้างก็จำเป็นจะต้องปิดกิจกรรม กิจการเหล่านั้นต่อไปจึงต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” เลขา สมช.กล่าว
พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า ก่อนที่จะมีการพิจารณาว่าจะผ่อนปลนกิจการหรือกิจกรรมใดในแต่ละระยะ อย่างน้อยที่สุดเราก็หนึ่งใน 2 ปัจจัย คือสถานการณ์การแพร่ระบาดรในประเทศของเราเองซึ่งเราเทียบเคียงกับต่างประเทศด้วยเพราะมีหลายประเทศที่ผ่อนคลายเร็วแต่ก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาเราจึงไม่ต้องการให้ประเทศไทยเกิดปัญหาเช่นเดียวกัน ดังนั้นการผ่อนปรนแต่ละระยะจะต้องทำด้วยความระวัง ที่สำคัญที่สุดทุกภาคส่วน จากประชาชนทุกคน และผู้ประกอบการผู้ประกอบกิจกรรม จะต้องให้ความร่วมมือถ้าความร่วมมือดีแม้กิจกรรมที่มีความเสี่ยงก็ยังจะสามารถนำมาพิจารณาให้เกิดความสมดุลได้ ดังนั้นประการสำคัญคือความร่วมมือจากประชาชนทุกคน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง