รีเซต

ทิสโก้ชี้พันธบัตรโลกน่าสน ปี 67 ทำยิลด์ 8 -15% ดีกว่าหุ้น

ทิสโก้ชี้พันธบัตรโลกน่าสน ปี 67 ทำยิลด์ 8 -15% ดีกว่าหุ้น
ทันหุ้น
28 พฤศจิกายน 2566 ( 19:08 )
24
ทิสโก้ชี้พันธบัตรโลกน่าสน ปี 67 ทำยิลด์ 8 -15% ดีกว่าหุ้น

#ทิสโก้ #ทันหุ้น ทิสโก้ ส่องโลกปี 2567 โตแบบชะลอตัว แต่ไม่เลวร้ายถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย ชูพันธบัตรยังน่าลงทุน เพราะโอกาสรับผลตอบแทน 8-15% ขณะที่ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แนะลงทุนเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและลดผลขาดทุนของพอร์ตโดยรวม


นายธรรมรัตน์ กิตติสิริพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2567 จะชะลอตัวลง อันเป็นผลจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดในรอบหลายทศวรรษที่กดดันต่อกิจกรรมเศรษฐกิจอย่าง นอกจากนี้ ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลางต่างๆ และมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวลดลงอย่างช้าๆ ทำให้ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกในปี 2567 จะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง


*ภาวะถดถอยยังต้องจับตา

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวแต่ยังให้น้ำหนักไม่มากที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งดูจากคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะชะลอตัวลงต่อเนื่อง แต่ยังสามารถขยายตัวได้ ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนาแม้จะมีแนวโน้มชะลอลงบ้าง แต่ยังขยายตัวได้ในอัตราที่สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว  อย่างไรก็ตาม ประเด็นเศรษฐกิจถดถอยก็ยังเป็นความเสี่ยงของปี 2567 ที่ไม่อาจละเลยได้ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจมีหลายปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งรวมไปถึงเหตุการณ์สงครามที่ยากต่อการคาดการณ์ด้วย


นายธรรมรัตน์กล่าวอีกว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะเติบโต 3.5% ดีขึ้นจากปี 2566 ที่น่าจะขยายตัวต่ำกว่า 3% หลัง GDP ไตรมาสสามออกมาแย่กว่าที่คาด เพราะการส่งออกสินค้าและการใช้จ่ายภาครัฐจะกลับมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง


*รัฐต้องเร่งใช้จ่าย

ขณะที่ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ความรวดเร็วของการอนุมัติร่างงบรายจ่ายปี 2567และการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น โครงการ Digital Wallet โครงการกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ และโครงการ e-Refund ให้สำเร็จตามเป้าหมาย เพราะการใช้จ่ายภาครัฐนับเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้า


ล่าสุด ทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบรายละเอียดร่างฯ วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหากรัฐบาลสามารถเร่งการพิจารณาร่างฯ ในขั้นตอนต่างๆ ได้เร็วขึ้นกว่าแผนที่วางกรอบไว้ก่อนเดือนพฤษภาคม 2567จะทำให้มีเม็ดเงินจากภาครัฐกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น


ในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ยังมีความไม่แน่นอนสูงทั้งในแง่ความสำเร็จในการผลักดันให้สามารถดำเนินการได้จริง จึงไม่มั่นใจว่าจะสามารถผลักดันให้เป็นรูปธรรมได้หรือไม่ ดังนั้นมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะนับรวมความคาดหวังเชิงบวกของมาตรการไว้ในประมาณการในกรณีฐาน แต่หากรัฐบาลสามารถผลักดันมาตรการได้สำเร็จ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่สูงเกินกว่า 4%จะมีโอกาสลุ้นให้เป็นจริงมากขึ้นได้ในปี 2567


*ผลตอบแทนดีสุดปี67

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้  มองว่า ในปี 2567ตลาดพันธบัตรโลกจะกลับมาให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าตลาดหุ้นอีกครั้ง และจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในปี 2567โดยคาดว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 8-15% นอกจากนี้ การลงทุนในพันธบัตรโลกโดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงยังต่ำกว่าตลาดหุ้น และยังช่วยกระจายความเสี่ยงและลดผลขาดทุนของพอร์ตโดยรวมในกรณีที่เศรษฐกิจถดถอยได้อีกด้วย


ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นการกลับขาของนโยบายทางการเงินจากผ่อนคลายเป็นเข้มงวด โดยธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0% มาอยู่ที่ 5.5% และดูดสภาพคล่องออกจากระบบไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตร 10 ปีสหรัฐฯ (Real yield) ก็พุ่งขึ้นจากติดลบ 1% มาอยู่ที่บวก 2%เป็นระดับที่สูงเทียบเท่ากับในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 แล้ว


*คาดยิลด์สูง8-15%

ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่กลับมาเป็นบวกนั้น ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรกลับมาอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง ดังนั้นในกรณีฐาน ปี 2567 เศรษฐกิจชะลอตัวแต่ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Soft landing) ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐจะอยู่ที่ราว 8%ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในกรณีที่ปี 2567 เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถอดถอย (hard landing) ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นเป็น 15%


ในขณะที่ตลาดหุ้นยังซื้อขายอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง โดยดัชนี S&P500 ซื้อขายที่อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 18 เท่า ซึ่งศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่าสูงเกินไป โดยหากประเมินจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและสภาพคล่องที่ลดลง ค่า P/E ที่เหมาะสมนั้นควรอยู่ที่ราว 17 เท่า


*มีโอกาสปรับลดกำไร

นอกจากนั้น ตลาดหุ้นยังอาจถูกกดดันจากการปรับลดคาดการณ์ผลกำไรอีกด้วย โดยปัจจุบันนักวิเคราะห์คาดผลประกอบการปี 2567ของบริษัทจดทะเบียนที่ซื้อขายอยู่ในดัชนี S&P500 ว่าจะเติบโตที่ 12% นับเป็นการคาดการณ์ที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สหรัฐ จะขยายตัวเพียง 1.5% น้อยกว่าปี 2566 ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 2%


อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยปี 2567 อาจเติบโตมากกว่าปี 2566 แต่ TISCO ESU ยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย คือ คงน้ำหนักการลงทุน หรือ Neutral ยังไม่แนะนำให้ เพิ่มน้ำหนักการลงทุน หรือ Overweight เพราะ มูลค่าหุ้นที่ยังแพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม และแนวโน้มการเติบโตระยะยาวที่ยังไม่ชัดเจน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง