รีเซต

20 วัน โควิดโอมิครอนครองสหรัฐฯ ทั่วประเทศเร่งงัดมาตรการเข้มรับมือ

20 วัน โควิดโอมิครอนครองสหรัฐฯ ทั่วประเทศเร่งงัดมาตรการเข้มรับมือ
TNN ช่อง16
21 ธันวาคม 2564 ( 11:01 )
55

โอมิครอนกำลังดับความหวังของชาวอเมริกัน ที่หวังจะได้กลับมาฉลองคริสต์มาสและปีใหม่อย่างใกล้เคียงกับปกติเสียที แต่แล้วกลับต้องมาเจอกับการระบาดของโอมิครอน และมาตรการป้องกันการระบาดของโควิดที่เริ่มหวนกลับมาใหม่


---20 วัน โอมิครอนครองสหรัฐฯ---


ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ หรือ CDC รายงานเมื่อวานนี้ (20 ธันวาคม) ว่า ในช่วงระยะเวลา 1 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น ผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ “โอมิครอน” มีสัดส่วนมากกว่า 73% ในจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ทั้งหมด ขณะที่เชื้อกลายพันธุ์ “เดลตา” มีสัดส่วนผู้ติดเชื้อประมาณ 27% ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ทั้งหมดในสหรัฐฯ


สัปดาห์จนถึงวันที่ 11 ธันวาคม มีการติดเชื้อโอมิครอน 12.6% ส่วนเดลตา 87%


สัปดาห์จนถึง 4 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนน้อยกว่า 1%


โดยรวม โอมิครอนใช้เวลาเพียง 20 วันหลังการตรวจพบครั้งแรกในสหรัฐฯ จนกลายเป็นสายพันธุ์ระบาดหลักในเวลานี้


---48 รัฐพบผู้ติดเชื้อโอมิครอนแล้ว---


ตอนนี้ ทั้ง 48 รัฐของสหรัฐฯพบผู้ติดเชื้อโอมิครอนแล้ว มีเพียงสองรัฐเท่านั้นที่ยังไม่มีรายงาน คือโอกลาโฮมา และเซาท์ ดาโกตา


นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันผู้เสียชีวิตรายแรกหลังติดเชื้อโอมิครอนในสหรัฐฯ แล้ว เป็นชายวัย 50 กว่าปี อยู่ในเขตแฮร์ริส เคาน์ตี้ รัฐเท็กซัส โดยเขายังไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และยังมีปัญหาสุขภาพอื่นด้วย


นายแพทย์ แอนโทนี เฟาซี หัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์รัฐบาลไบเดน คาดการณ์ว่า สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ระบาดของโควิดที่ยากลำบากอีกครั้ง ไปนานอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เนื่องจากโอมิครอนกำลังระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วสหรัฐฯ ทำให้ผู้ติดเชื้อโควิดกลับมาเพิ่มขึ้นครั้งใหม่ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา


---เมืองต่าง ๆ งัดมาตรการคุมเข้มมาใช้อีก---


บรรดาเมืองสำคัญในสหรัฐ เริ่มงัดมาตรการโควิดกลับมาใช้แล้วก่อนคริสต์มาส โดยกรุงวอชิงตันดีซี งัดมาตรการบังคับประชาชนใส่หน้ากากอนามัยกลับมาใช้ใหม่ และมีคำสั่งให้ข้าราชการทุกคนไปฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3


ด้าน มิเชลล์ วู นายกเทศมนตรีนครบอสตัน เพิ่งประกาศมาตรการสกัดโควิดเมื่อวานนี้ (20 ธันวาคม) ให้ทุกคนแสดงหลักฐานได้รับวัคซีนต้านโควิดครบ ก่อนเข้าไปในใช้บริการธุรกิจต่าง ๆ


ด้านนครนิวยอร์ก ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิดในครั้งก่อน ๆ สถานการณ์ระบาดครั้งใหม่กำลังน่าวิตกอย่างยิ่ง จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 ในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ที่สิ้นสุดในวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา นิวยอร์กเคยสร้างสถิติ พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ในวันเดียวสูงที่สุดในสหรัฐฯ 3 วันติดต่อกันมาแล้ว


---โจ ไบเดน เตรียมประกาศมาตรการเพิ่ม---


ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะประกาศขั้นตอนเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับโควิดโอมิครอน ในวันอังคารนี้ (21 ธันวาคม) ตามเวลาสหรัฐฯ แต่เขาอาจไม่ได้กล่าวถึงมาตรการจำกัดเพิ่มเติม


เจน ปซากี โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า นี่จะไม่ใข่สุนทรพจน์ที่จะปิดประเทศ แต่เป็นการกล่าวสุนทรพจน์ที่แจกแจงรายละเอียดและกล่าวยังตรงไปตรงมา ชัดเจนกับคนอเมริกัน ถึงประโยชน์ของการเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งจะเป็นขั้นตอนที่รัฐบาลจะเพิ่มช่องทางการเข้าถึง และเพิ่มการตรวจหาเชื้อ รวมถึงอธิบายถึงความเสี่ยงสำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับวัคซีน


เธอระบุว่า ประธานาธิบดีไบเดน จะเตือนอย่างจริงจังว่า คนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจะนำไปสู่การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนี่ไม่ใช่การสร้างความกลัวให้กับผู้คน แต่อต้องการทำให้รู้ว่าความเสี่ยงของคนไม่รับวัคซีนคืออะไร และโควิด-19 นั้น ไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับคนที่รับวัคซีนครบแล้ว เหมือนกับที่เคยเกิดขจึ้นในช่วงเดือนมีนาคมปี 2020


---ไบเดนมีคนกลุ่มเสี่ยงใกล้ตัว---


ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวยังออกแถลงการณ์ว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีไบเดน มีผลตรวจเชื้อเป็นบวกเมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังมีอาการป่วยเล็กน้อยในวันอาทิตย์ และสามวันก่อนหน้านั้น เขาอยู่ใกล้ชิดนายไบเดนบนเรื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน เป็นเวลา 30 นาที


เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ได้รับวัคซีนครบเข็มแล้วรวมทั้งวัคซีนเข็มกระตุ้น และมีผลตรวจเชื้อเป็นลบก่อนขึ้นเครื่องบินดังกล่าว ตามข้อบังคับว่าทุกคนที่จะขึ้นเครื่องบินลำเดียวกับประธานาธิบดีต้องมีการตรวจหาเชื้อก่อน


อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีไบเดนได้ตรวจเชื้อแบบ PCR เมื่อวันจันทร์ และมีผลเป็นลบ แต่จะรับการตรวจหาเชื้ออีกครั้งในวันพุธ โดยเขายังสามารถทำงานได้ตามปกติ เพราะแนวทางของ CDC ไม่กำหนดให้คนที่รับวัคซีนครบแล้วต้องกักตัวเมื่อใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ

—————

แปล-เรียบเรียง: ธันย์ชนก จงยศยิ่ง

ภาพ: Kenzo TRIBOUILLARD / AFP



ข่าวที่เกี่ยวข้อง