TOPโตหลังเพิ่มทุน แจกปันผลแถมอีก

#TOP #ทันหุ้น – TOP มั่นใจโอกาสเติบโตหลังเพิ่มทุน โครงการทั้ง CFP และ CAP จะเพิ่มศักยภาพ พร้อมลุยจ่ายปันผลระหว่างกาล มีลุ้นผลตอบแทนดีหลังผลงานครึ่งปีแรกทำสถิติ ส่วนหนี้สินต่อทุนจะต่ำลงน้อยกว่า 1 เท่า เตรียมเคาะราคาสุดท้าย 20 กันยายนนี้
นายยศวีร์ สุทธิกุลพานิช Head of Primary Markets Distribution ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า หลังจากนักลงทุนทั่วไปได้จองหุ้นในช่วงวันนี้ 9-16 กันยายนที่ผ่านมา บริษัทจะกำหนดราคาสุดท้ายในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ในวันที่ 20 กันยายนนี้ จากช่วงราคาที่ 52-54 บาทต่อหุ้น โดยจะประกาศบนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทและแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์
ประเมินว่าราคาในกระดานของ TOP เฉลี่ยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมายังมีอัพไซด์จากราคาสูงสุดของราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 54 บาทต่อหุ้น ขณะเดียวกัน TOP จะมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลหลังการเพิ่มทุนแล้วเสร็จด้วย โดยมีโอกาสจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลมากกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน หลังทำผลงานครึ่งปีแรกผลกำไรทำสถิติที่ 3.2 หมื่นล้านบาท
@ศักยภาพเพิ่ม
นายยศวีร์ กล่าวว่า บริษัทจะทำเม็ดเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนจำนวนหมื่นล้านบาทนั้น ไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น (Bridging Loan) จากปตท.และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเงินกู้ได้ใช้สำหรับการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มกำลังการกลั่นเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน จาก 275,000 บาร์เรลต่อวัน มีการน้ำมันเตาเป็นน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซล ส่งผลให้มีส่วนต่างกำไร (Margin) สูงขึ้น จะสามารถทยอยเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์(COD) ในปี 2567 และเดินเครื่องผลิตได้เต็มรูปแบบในปี 2568
รวมไปถึงการลงทุนธุรกิจโอเลฟินใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ผู้ผลิตปิโตรเคมีรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 4.23 ล้านตันต่อปี และอยู่ระหว่างพิจารณาการลงทุนโครงการ CAP2 ภายในปีนี้ เพื่อขยายกำลังการผลิตอีกเท่าตัวเป็น 8.10 ล้านตันต่อปี คาดจะเริ่ม COD ได้ในปี 2569
ทั้ง 2 โครงการนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพ และผลตอบแทนรวมถึงการขยายตลาดของบริษัท โดยการเพิ่มทุนครั้งนี้ จะช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E) ให้น้อยกว่า 1 เท่า จะทำให้สถานภาพทางการเงินของบริษัทมีความแข็งแรงขึ้นไป และยังสนับสนุนให้ อันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต (Credit Rating) ให้มีมุมมองที่ดี ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินจะมีอัตราที่ต่ำได้
นอกจากนั้น ไทยออยล์ยังแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ ผ่านรูปแบบ Step Out Business และร่วมลงทุนใน CVC (Corporate Venture Capital) เน้นกลุ่มเมกะเทรนด์แห่งอนาคต ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
@ค่ากลั่นยังสูง
สำหรับค่าการกลั่นนั้นมองว่าปัจจุบันซัพพลายลดลงไปจำนวนมาก ทำให้ค่าการกลั่นดีขึ้นมากกว่าปกติในช่วงครึ่งปีแรก แม้ปัจจุบันจะลดลงมาแต่มองว่าเป็นการกลับมาสู่ระดับปกติ และสูงกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์รัสเซียและยูเครนก็ยังมีต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่า TOP มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ตลอด
ยอดนิยมในตอนนี้
