รีเซต

ตลท.ห่วงเทรดวอร์กดกำไร ปรับกลยุทธ์ดึงทุนต่างชาติ

ตลท.ห่วงเทรดวอร์กดกำไร ปรับกลยุทธ์ดึงทุนต่างชาติ
ทันหุ้น
10 มิถุนายน 2568 ( 16:22 )
20

#ตลท. #ทันหุ้น - ตลท. แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความน่ากังวลจากการเจรจาการค้าสหรัฐ ที่จะส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ได้พยายามเพิ่มน้ำหนักของไทยในดัชนี MSCIและกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ได้แก่ ธนาคาร-ท่องเที่ยว-การแพทย์เชิงสุภาพ ทั้งนี้จุดแข็งของตลาดหุ้นไทย คือ หุ้นปันผล ที่จ่ายผลตอบแทนในระดับสูง อย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลดลง 17.9% YTD


นายอัสสเดช  คงสิริ  กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีความน่ากังวลจากเรื่องการเจรจาการค้าสหรัฐ หากมีความชัดเจนและผลออกมาดี จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสทรงตัวหรือปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในครึ่งปีหลัง


ถ้าหากไทยโดนกำแพงภาษีที่ 36% จะทำให้ GDP มีโอกาสลดลงถึง 1% ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งน่าจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยปัจจุบันสภาพัฒน์ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ทั้งปีเหลือเพียง 1.8% จากเดิม 2.8%


@ชูแบงก์-ท่องเที่ยว-การแพทย์

ขณะที่ทางตลท. พยายามเพิ่มน้ำหนักของไทยในดัชนี MSCI ที่จะพิจารณาการจัดอันดับ จากการให้น้ำหนักในตลาดต่างๆ และคำนึงถึงขนาดของตลาด และสภาพคล่อง นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญอย่างมากกับกลไกตลาดของประเทศนั้นๆ ในการเทียบเคียงกับตลาดอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เช่น การ Short Sell โดยจากการสอบถามนักลงทุนต่างชาติ พบว่า ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจจากการลงทุนในโครงการขนาดของทางภาครัฐ แต่ยังมีความกังวลว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่


ขณะเดียวกันยังอยากให้ตลาดหุ้นไทยปรับเกณฑ์ NVDRให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าลงทุนในหุ้นไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร ซึ่งนักลงทุนต่างชาติถือค่อนข้างเต็มแล้ว ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มการท่องเที่ยวหรือการแพทย์เชิงสุขภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ในแต่ละบริษัท


@จุดแข็งคือหุ้นปันผล

ทั้งนี้หุ้นปันผลถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของตลาดหุ้นไทย โดยอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 4.28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.34% โดยปัจจัยที่ทำให้การจ่ายปันผลเพิ่มขึ้น ได้แก่ การที่ราคาหุ้นที่ลดลงซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ปันผลต่อราคาหุ้นดูสูงขึ้น,ผลประกอบการที่ดีขึ้นในบางธุรกิจทำให้กำไรของบริษัทมีการปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงผู้บริหารหลายคนมองว่าราคาหุ้นของบริษัทตัวเองต่ำกว่าพื้นฐาน ทำให้เกิดการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผลที่มากขึ้น


@หุ้นไทยปรับตัวลดลง 17.9% YTD

อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 SET Index ปิดที่ 1,149.18 จุด ปรับลดลง 4.0% จากเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดปรับลดลงมาจาก 2 เหตุผลสำคัญ คือ ความไม่ชัดเจนในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน รวมถึงการปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยออกจากดัชนี MSCI ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งต่อปี คือเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ปรับลดลง 17.9% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยี


ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 43,327 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 9.9% โดยผู้ลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท และยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 55.37% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนตาม MSCI Rebalance

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง