หุ้นที่จะ out/underperform หากราคาน่ำมันเปลี่ยนเป็นขาลง

#น้ำมัน #ทันหุ้น - บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ราคาน้ำมันดิบเริ่มผันผวนและปรับตัวลงจากความกังวลเรื่อง global recession ที่กระทบอุปสงค์การใช้น้ำมัน โดยราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้า (ณ วันที่ 6 ก.ค.2022) ล่าสุดอยู่ที่ USD100.7/bbl ปรับตัวลดลง 12% mtd และ -21% ตั้งแต่ราคาน้ำมันขึ้นไปแตะระดับสูงสุดของปีเมื่อวันที่ 8 มี.ค.2565
โดยแม้ว่าสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกในปัจจุบันยังคงตึงตัวจากปริมาณสำรองพลังงานที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความจริงที่ OPEC ยังคงผลิตน้ำมันได้ต่ำกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาได้รับปัจจัยลบหลักๆ จาก 1) ความกังวลสภาวะเศรษฐกิจถดถอย (global recession) จะส่งผลให้อุปสงค์การใช้น้ำมันทั่วโลกลดลง 2) การ lockdown เมืองต่างๆของจีนเพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 และ 3) ราคาน้ำมันค้าปลีกที่สูงเป็นสถิติส่งผลให้อุปสงค์การใช้น้ำมันลดลง (demand destruction) (ที่มา: Bloomberg)
ทั้งนี้ จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ผันผวน ฝ่ายวิจัยได้เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี ที่มีโอกาสที่จะ outperform และ underperform หากความกังวลเรื่องราคาน้ำมันกลับมามีทิศทางขาลง โดยหุ้นที่จะ outperform ได้แก่ BGRIM, HMPRO, EPG และหุ้นที่จะ underperform ได้แก่ PTTEP, SPRC,TOP
( + ) หุ้นที่คาดว่าจะ underperform จากผลลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ 1) BGRIM ได้ประโยชน์จากราคาก๊าซที่จะปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน นอกจากนั้น ยังมี catalyst จากการเจรจาโครงการใหม่ในช่วง 2H65E กว่า 0.5-1.0GW หากสาเร็จเป็น upside 2) HMPRO จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างที่จะปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน และมีโอกาสฟื้นตัวดีกว่ากลุ่มเนื่องจากมีสาขาในจังหวัดท่องเที่ยวมาก ได้ประโยชน์จากการตกแต่งซ่อมแซม อาคารสถานที่ท่องเที่ยว และ 3) EPG จะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบหลัก (PP, PET, HDPE) ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน
หุ้นที่จะ underperform หากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ 1) PTTEP (จากความสัมพันธ์เชิงบวกของราคาหุ้นต่อราคาน้ำมันดิบสูงที่สุด) 2) SPRC (ความเป็นไปได้ที่จะบันทึก stock loss) และ 3) TOP (ความเป็นไปได้ที่จะบันทึก stock loss
**Sector ที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเรียงตามลำดับ**
- กลุ่มไฟฟ้า (BGRIM GPSC GULF) ต้นทุนหลักของโรงไฟฟ้ า SPP กว่า 70% มาจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเชื่อมโยงกับราคาน้ำมัน ลดความกังวลภาระต้นทุนในอนาคต นอกจากนี้แนวโน้มการปรับค่า Ft ขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตใหม่ยังเป็นอีกปัจจัยผ่อนคลายภาระต้นทุน
- กลุ่มสายการบิน (AAV, BA) เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจคิดเป็นประมาณ 30-40% จากรายได้รวม
- EPG จะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบหลัก (PP, PET, HDPE) ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน
- TASCO ได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันปรับตัวลดลง ทำให้อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น
- Construction Services: CK, STEC, PYLON, SEAFCO จากต้นทุนก่อสร้างที่ลดลง เนื่องจากต้นทุนน้ำมันคิดเป็นราว 2-5% ของต้นทุนรวม สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แม้ราคาหุ้น YTD จะปรับตัวลงหนัก แต่มองว่าเป็นผลกระทบจากปัจจัยอื่น เช่น ปัญหาแรงงานขาดแคลนโดยเฉพาะของกลุ่มรับเหมาเล็ก, ราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น, การ take profit ออกมาบางส่วนหลังมีการลงนามสัญญาโครงการทางคู่และสายสีม่วงใต้, รวมถึงความกังวลของการปรับขึ้นค่าแรง ขณะที่ต้นทุนน้ำมันปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนไม่มาก ทำให้มองว่าปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงจะไม่ส่งผลบวกต่อราคาหุ้นอย่างมีนัย
**Sector ที่ได้รับผลลบจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเรียงตามลำดับ**
- กลุ่มพลังงาน: ประเมินว่าหุ้นกลุ่มโรงกลั่นจะได้ผลกระทบจากการปรับลงของราคาน้ำมันมากที่สุด หลักๆ เนื่องจากความเป็นไปได้ที่จะเกิดขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (stock loss) โดยเชื่อว่า SPRC และ TOP จะมีกำไรลดลง 3.0%/2.8% สำหรับทุกๆการลดลง 1% ของราคาน้ามันดิบ ขณะเดียวกันประเมินว่ากำไรของ PTTEP จะลดลง 0.9% ทุกๆการลดลง 1% ของราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ดี คาดว่า PTTEP จะมีโอกาสปรับตัวลดลงมากที่สุดในระยะสั้นจากการที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อราคาน้ำมันดิบมากที่สุด
- หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี: SCC, PTTGC มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลงตามราคาน้ำมัน
Price performance (YTD) สำหรับหุ้นที่มีผลกระทบจากราคาน้ำมันผันผวน
ยอดนิยมในตอนนี้
