รีเซต

อวสาน “Yen Carry Trade” สะเทือนสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

อวสาน “Yen Carry Trade” สะเทือนสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
TNN ช่อง16
25 พฤศจิกายน 2568 ( 00:03 )

ถ้ามีการลงทุนในลักษณะที่เราสามารถหาแหล่งเงินลงทุนด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำมากจนเกือบจะเท่ากับ “ศูนย์” แล้วสามารถนำไปลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตามที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า นักลงทุนจำนวนไม่น้อยคงสนใจในการลงทุนนี้อย่างแน่นอน

หนึ่งตัวอย่างการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้ตามหลักการที่ว่ามานั้นก็คือ “Yen Carry Trade” นั่นเอง แล้ว Yen Carry Trade คืออะไร ทำไมสถานการณ์ในปัจจุบันกำลังจะทำให้การลงทุนในลักษณะนี้ถึงกาล “อวสาน”

สถานการณ์การลงทุนในภาพรวมทั่วทั้งโลกในปัจจุบัน ยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มของความผันผวนของการลงทุนยังอยู่ในระดับที่มีความเสี่ยงสูงมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจ และการลงทุนของ “ญี่ปุ่น” นั่นคือตัวเลขผลตอบแทน “พันธบัตรรัฐบาล” ญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรงจนแตะระดับที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ และปรากฎการณ์นี้กำลังจะสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก โดยเฉพาะนักลงทุนที่ลงทุนในลักษณะ “Yen Carry Trade”

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับการลงทุนในลักษณะ “Carry Trade” กันก่อนว่าคืออะไร Carry Trade คือกลยุทธ์การลงทุนหนึ่ง ที่นักลงทุนมองหาโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างของต้นทุนทางการเงินจากการกู้ยืม และผลตอบแทนจากการลงทุน โดยทั่วไปจะเป็นการทำกำไรจากส่วนต่างของอัตตราดอกเบี้ยในแต่ละประเทศ ด้วยการไปกู้ยืมเงินในสกุลเงินที่ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปลงทุนในสกุลเงินที่ให้ดอกเบี้ยสูง ซึ่งกลยุทธ์นี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีการลงทุนในลักษณะนี้มาหลายสิบปี

สิ่งที่จะทำให้กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จได้นั่นก็คือการหาแหล่งเงินทุนที่ต้นทุนต่ำที่สุด เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีส่วนต่างของผลตอบแทนมากกว่า แน่นอนว่าหนึ่งในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากมาอย่างยาวนานที่คุ้นหูนักลงทุนมากที่สุดนั่นก็คือ “ญี่ปุ่น” ทำให้ช่วงที่ผ่านมา สกุลเงินเยนญี่ปุ่นกลายเป็นเป้าหมายหลักของบรรดานักลงทุนสถาบัน รวมถึง Hedge Fund ด้วยการทำ Yen Carry Trade ในจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นต่ำมาก ๆ จนถึงขั้นติดลบ

การลงทุนในลักษณะนี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ จนกระทั่ง การรายงานผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นอายุ 40 ปี รอบล่าสุด ที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.697% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่มีการเปิดตัวพันธบัตรนี้ในปี 2007 สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเคยอยู่เพียงแค่ที่ระดับ 0.5% ในปี 2021

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 20 ปี อยู่ที่ 2.80% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี อยู่ที่ 3.334% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ด้วยเช่นกัน ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 70 เบสิสพอยท์ ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งเหตุผลที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรง คือการที่รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความท้าทายกับระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น

เรื่องนี้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน สวนทางกับตำราเศรษฐศาสตร์ที่การกระตุ้นเศรษฐกิจมักจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยให้เกิดเม็ดเงินจากการลงทุน การบริโภคหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าพันธบัตรนั่นเอง แต่ญี่ปุ่นกลับตรงกันข้าม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงเพียงชั่วข้ามคืน

ปรากฎการณ์นี้สามารถอธิบายได้ด้วยตัวเลข “หนี้สาธารณะ” ของญี่ปุ่น ที่ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงมากที่ประมาณ 250% ของ GDP และภาระของการจ่ายดอกเบี้ยคิดเป็นประมาณ 23% ของรายได้ภาษีประจำปี ซึ่งนักวิเคราะห์มีการประเมินว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนทุก ๆ 100 เบสิสพอยท์ จะเพิ่มภาระทางการเงินของรัฐบาลญี่ปุ่นมากกว่า 2.8 ล้านล้านเยนต่อปี

และที่สำคัญผลกระทบนี้กำลังขยายวงกว้างไปไกลกว่าที่ญี่ปุ่น อัตราผลตอบแทนระยะยาวที่สูงขึ้นกำลังสร้างแรงกดดันต่อการลงทุนในลักษณะ “Yen Carry Trade” ที่มีมาอย่างยาวนาน นักลงทุนทั่วโลกกู้ยืมเงินเยนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และนำเงินทุนไปลงทุนในตลาดต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือในภาษาของการลงทุนจะนิยามว่า “Arbitrage” คือการสร้างผลตอบแทนโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนของตัวเองเลย และนี่คือการทำ Arbitrage ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่เกิดขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นที่ตรึงไว้ในระดับต่ำมาอย่างยาวนาน และทฤษฎีนี้ได้ถูกทำลายลงไปเพียงข้ามคืน

เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น Yen Carry Trade จะเริ่มพังทลาย หรือ “Unwind Carry Trade” เมื่อต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และเมื่อเงินไหลกลับเข้าสู่ญี่ปุ่น เงินเยนก็จะแข็งค่าขึ้น นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่กู้ยืมเงินเยนจะต้องเผชิญกับต้นทุนการชำระคืนที่สูงขึ้นอย่างกระทันหัน ในขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่าค่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้น 4-8% ในอีก 6 เดือนข้างหน้า

และนั่นก็จะนำมาซึ่งผลขาดทุนอย่างรุนแรงของนักลงทุน Yen Carry Trade ที่มีอัตราทดในการลงทุน หรือ Leverage สูง ๆ สถานะการลงทุนต่าง ๆ จะต้องถูกปิดจากการขาดทุน หรืออาจจะต้องถูเรียกหลักประกันเพิ่มเพื่อชดเชยการขาดทุน ซึ่งเม็ดเงินลงทุนในลักษณะนี้ ในปัจจุบันคาดว่าจะมีมูลค่าที่สูงมากประมาณ 20 ล้านล้านดอลลาร์ที่กำลังจะเจอกับความเสี่ยงของการขาดทุนครั้งใหญ่

ผลกระทบของ Yen Carry Trade ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ตลาดพันธบัตร แต่ด้วยการลงทุนที่เปิดกว้างในปัจจุบัน กำลังจะสร้างแรงกดดันไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงสกุลเงินดิจิทัล เพราะเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น นักลงทุนอาจเริ่มลดสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ และย้ายเงินทุนกลับเข้าสู่ญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายสินทรัพย์ต่างประเทศเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ, กองทุน ETF หุ้น และคริปโทเคอร์เรนซี

ปรากฎการณ์ “Unwind Yen Carry Trade” ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ย้อนกลับไปเพียงแค่ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็เจอกับวิกฤตครั้งรุนแรง ดัชนีหุ้นร่วงลงถึง 12% และตลาดหุ้นสูญเสียมูลค่ากว่า 670,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่นประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.25% แถมส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นต่ออีก เพื่อควบคุมการอ่อนค่าของเงินเยน

และสถานการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ซ้ำรอยกับปีที่แล้ว แต่กำลังจะส่งสัญญาณที่รุนแรงกว่า สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างมากกว่าครั้งที่ผ่านมา เราอาจจะได้เห็นการซื้อเงินเยนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเพื่อนำไปคืนเงินกู้ ค่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก และนั่นอาจจะทำให้ Yen Carry Trade ถูกฝังไปตลอดกาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง