พายุไซโคลนกำลังมา! สงขลาจมน้ำ 26 จังหวัดเสี่ยงภัย!
ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝน จึงมักเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงขึ้นเป็นระยะๆ ส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ ทั้งฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก แต่ในขณะเดียวกัน ปริมาณน้ำฝนก็ช่วยเพิ่มน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติ เตรียมไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งปลายปีด้วย
พายุพัดถล่มสงขลา สร้างความเสียหายในวงกว้าง
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา เกิดพายุฝนและลมกระโชกแรงพัดถล่มในพื้นที่จังหวัดสงขลา บริเวณบ้านไร่ ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ เส้นทางสายหลักเชื่อมไปยังด่านชายแดนสะเดา ส่งผลให้มีต้นไม้ใหญ่และเสาไฟฟ้าหลายต้นโค่นล้มลงมาขวางถนนกาญจนวนิช รถกระบะ 1 คันถูกเสาไฟฟ้าทับได้รับความเสียหาย แต่โชคดีที่คนขับปลอดภัย เหตุการณ์นี้ส่งผลให้การจราจรติดขัดเป็นอย่างมากเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร เนื่องจากต้องรอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเคลียร์ต้นไม้และเสาไฟฟ้าที่ล้มขวางออกไปก่อน ซึ่งใช้เวลานานหลายชั่วโมง
นอกจากนี้ พายุลมแรงยังส่งผลให้หลายพื้นที่ในสงขลาประสบปัญหาไฟฟ้าดับ บ้านเรือนประชาชนบางส่วนได้รับความเสียหายจากต้นไม้ล้มทับ รวมถึงฝนตกหนักยังทำให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง ทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงระดมกำลังเร่งเข้าช่วยเหลือ และซ่อมแซมสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหายให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็ว
ฝนต่อเนื่องช่วยเพิ่มน้ำต้นทุนที่นครราชสีมา
ในขณะที่ที่จังหวัดนครราชสีมา ฝนที่ตกลงมาติดต่อกันหลายวัน ก็ส่งผลดีต่อปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเฉพาะที่อ่างเก็บน้ำห้วยสะกาด ต.นิคม อ.พิมาย ขณะนี้มีน้ำกักเก็บอยู่ 1.4 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 39% ของความจุ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาซึ่งเหลือน้ำเพียง 20% ของความจุเท่านั้น นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในช่วงเริ่มต้นฤดูฝน เพราะน้ำในอ่างแห่งนี้จะช่วยส่งน้ำให้เกษตรกรได้ทำการเกษตรราว 5,000 ไร่ และให้ชาวบ้าน 2 ตำบล 15 หมู่บ้านใช้อุปโภคบริโภคด้วย
อย่างไรก็ตาม สำนักชลประทานนครราชสีมา รายงานว่า ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่งในจังหวัด มีปริมาณน้ำใช้การได้ 432 ล้าน ลบ.ม. หรือเพียง 37% ของความจุเท่านั้น โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ที่หล่อเลี้ยงพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ สีคิ้ว สูงเนิน ขามทะเลสอ เฉลิมพระเกียรติ และเมืองนครราชสีมา ซึ่งปัจจุบันเหลือน้ำเพียง 32% ของความจุเท่านั้น จึงยังต้องรอให้มีฝนตกเพิ่มเติมน้ำต้นทุนอีกมาก เพื่อให้มีน้ำเพียงพอใช้ในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึง
26 จังหวัดเสี่ยง เร่งเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วม
ล่าสุด สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ออกประกาศเตือน 26 จังหวัดทั่วประเทศ ให้เตรียมรับมือและระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ในช่วงวันที่ 25-31 พ.ค.นี้ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุดีเปรสชันที่กำลังก่อตัวในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน ซึ่งส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ ทั้งด้านตะวันตกของภาคเหนือและภาคกลาง โดยให้ระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับพื้นที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม
หน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่เสี่ยงต้องเร่งเตรียมการรับมือ ทั้งการจัดเตรียมสถานที่อพยพ ยานพาหนะ สิ่งของจำเป็น และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้พร้อมสำหรับการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง หากมีความจำเป็น ขณะที่ประชาชนต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ พร้อมเตรียมพร้อมรับมือหากต้องมีการอพยพ
พายุไซโคลนเตือนภัย ผลกระทบทั้งไทย-เพื่อนบ้าน
อีกทั้งกรมอุตุนิยมวิทยายังคงเตือนเรื่องคลื่นลมแรงในทะเลอันดามัน แนะนำให้ชาวเรือและเรือเล็กหลีกเลี่ยงการเดินเรือในช่วงที่มีฝนฟ้าคะนอง เนื่องจากพายุดีเปรสชันในอ่าวเบงกอลนี้ มีแนวโน้มจะทวีความแรงกลายเป็นพายุไซโคลนและเคลื่อนขึ้นฝั่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียและบังกลาเทศ ในช่วงวันที่ 26-27 พ.ค.นี้
ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทั้งในแง่ของการเพิ่มความรุนแรงของฝนตกในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงคลื่นลมแรงในทะเลอันดามันซึ่งอาจมีความสูงมากกว่า 3 เมตร ชาวเรือและประชาชนในพื้นที่ชายฝั่งควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในช่วงนี้ นอกจากนั้นยังคาดว่าจะมีผลกระทบรุนแรงในอินเดียและบังกลาเทศซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยอาจมีฝนตกหนักและลมแรง รวมถึงน้ำท่วมในวงกว้าง ทางการไทยจึงต้องติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม
ลดความเสี่ยง เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ประชาชนจึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการตรวจสอบความแข็งแรงของบ้านเรือน ตัดแต่งกิ่งไม้ใกล้บ้านและสายไฟ เตรียมไฟฉายและอุปกรณ์จำเป็นสำหรับยามฉุกเฉิน เช่น อาหารแห้ง ยารักษาโรค ซึ่งควรเตรียมไว้ให้เพียงพออย่างน้อย 3-5 วัน
นอกจากนี้ควรสนใจข่าวสารการเตือนภัยจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยความเคร่งครัด หากมีคำสั่งให้อพยพก็ต้องเตรียมพร้อม แต่ต้องไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้สูงอายุ เด็ก สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยเป็นพิเศษ รวมถึงหลีกเลี่ยงการเดินทางในพื้นที่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด
ภาพ Getty Images / ผู้สื่อข่าว จ.สงขลา
เรียบเรียง บรรณาธิการ TNN : ยศไกร รัตนบรรเทิง