วิเคราะห์ระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 มีจุดอ่อนบางประการที่อาจส่งผลต่อการปฏิบัติการทางทหาร

ระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 (Multiple Rocket Launcher - MRL) เป็นระบบยิงจรวดพิสัยไกลแบบติดตั้งบนรถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยตัวเองขนาด 300 มม. ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ระบบนี้ได้รับการพัฒนาโดย Norinco และถือเป็นหนึ่งในระบบจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก กองทัพบกของกองทัพกัมพูชา (Royal Cambodian Armed Forces) เป็นหนึ่งในผู้ใช้งาน
คาดว่าปัจจุบันกัมพูชามีระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ประจำการอยู่ 6 ระบบ แม้ว่า PHL-03 จะมีบทบาทหลักในการเข้าปะทะเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในระยะไกล เช่น ศูนย์บัญชาการ สนามบิน หรือที่รวมกำลังทหารขนาดใหญ่ แต่ด้วยลักษณะทางกายภาพและการออกแบบที่อิงตามเทคโนโลยีของระบบ BM-30 Smerch ของสหภาพโซเวียตและรัสเซีย ทำให้มีจุดอ่อนบางประการที่อาจส่งผลต่อการปฏิบัติการ
ก่อนหน้านี้มีหลายแหล่งข้อมูลวิเคราะห์พบจุดอ่อนของจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 เอาไว้อย่างน่าสนใจ เช่น การวิเคราะห์เปรียบเทียบ PHL-03 กับ HIMARS และ Pinaka ของอินเดีย และข้อมูลจากฐานข้อมูลของกองทัพสหรัฐฯ ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับระบบอาวุธทั่วโลก
1. จุดอ่อนด้านขนาด น้ำหนัก และการถูกตรวจจับ (Signature)
จุดอ่อนสำคัญอย่างหนึ่งของระบบ PHL-03 คือ ขนาดและน้ำหนักที่มากรวม 43 ตัน ตัวรถมีความยาว 12 เมตร กว้าง 3 เมตร และสูง 3 เมตร ระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง (MLRS) ที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงขบวนรถบรรทุกกระสุน มี "ลักษณะขนาดใหญ่" (large signature) ซึ่งหมายถึงการถูกตรวจจับได้ง่าย
แม้ว่าแหล่งข้อมูลจะเน้นถึงข้อจำกัดในการใช้งานในพื้นที่สูง (High Altitude) เช่น ที่ราบสูงทิเบต เนื่องจากภูมิประเทศ แต่ในพื้นที่ปฏิบัติการทั่วไป ขนาดที่ใหญ่ก็ยังจำกัดพื้นที่ในการจัดวางและเคลื่อนที่ ทำให้การรักษาความปลอดภัยของตำแหน่งจากดาวเทียมและอากาศยานไร้คนขับ (UAVs) ทำได้ยาก
2. ความเสี่ยงจากการถูกยิงตอบโต้ และเวลาบรรจุใหม่
ในสถานการณ์การรบสมัยใหม่ การถูกยิงตอบโต้ (Counter-battery fire) เป็นความเสี่ยงหลักสำหรับระบบปืนใหญ่และจรวด แม้ว่าเทคนิคการยิงแล้วหนี (Shoot and scoot) จะถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยิงตอบโต้ แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ของ PHL-03 และลักษณะขนาดใหญ่ เมื่อทำการยิง (Large signature on firing) ทำให้การหลบหนีอาจมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในภูมิประเทศที่มีการกำบังจำกัด
ระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 มีท่อยิง 12 ท่อ ขนาด 300 มม. ระบบสามารถยิงจรวดชุดเต็ม (Full salvo) ซึ่งอาจครอบคลุมพื้นที่ถึง 67 เฮกตาร์ หรือ 170 เอเคอร์ ได้แต่เวลาในการบรรจุจรวดใหม่ (Refill time) นั้นใช้เวลานานถึง 20 นาที การบรรจุใหม่มักเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างจากตำแหน่งยิงเพื่อหลีกเลี่ยงการยิงตอบโต้ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลา 20 นาทีนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ระบบมีความเสี่ยงสูงหากถูกตรวจพบ
3. ความแม่นยำของจรวดมาตรฐาน
PHL-03 ใช้จรวดขนาด 300 มม. โดยมีพิสัยการยิงสูงสุดประมาณ 70-130 กม. หรือสูงสุด 160 กม. สำหรับจรวดรุ่นใหม่ แม้ว่า PHL-03 จะมาพร้อมกับระบบควบคุมการยิงด้วยคอมพิวเตอร์ (FCS) ที่รวม GPS/GLONASS/BeiDou และสามารถใช้จรวดนำวิถี (เช่น Fire Dragon 140A) แต่เมื่อเทียบกับระบบ MLRS ของคู่แข่งบางระบบ จรวดมาตรฐานยังคงต้องพึ่งพาจรวดที่ "ไม่มีการนำวิถี" (unguided rockets) ซึ่งนำไปสู่ความแม่นยำที่จำกัด ความแม่นยำในการเข้าปะทะเป้าหมายโอกาส (targets of opportunity) ขึ้นอยู่กับการใช้ทรัพยากรอื่น เช่น UAVs ในการกำหนดเป้าหมาย
ระบบ PHL-03 หรือชื่อเดิมคือ AR-1 ถูกพิจารณาว่าเป็นตัวเลือกแบบเก่าในการแข่งขันพัฒนาของจีน และปัจจุบันกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ได้เริ่มนำระบบที่ใหม่กว่าและมีความยืดหยุ่นกว่าคือ PHL-16 มาทดแทน PHL-03 แล้ว
แม้ว่า PHL-03 จะเป็นระบบที่มอบอำนาจการยิงทำลายล้างสูงด้วยหัวรบขนาด 280 กก. แต่จุดอ่อนหลักของระบบนี้ คือ ความเสี่ยงจากการถูกตรวจจับและทำลายเนื่องจากขนาดที่ใหญ่และระยะเวลาในการบรรจุใหม่ที่นาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ลดทอนประสิทธิภาพในการปฏิบัติการแบบ "ยิงแล้วหนี" ที่รวดเร็ว หากเทียบกับการซ่อนตัวและการหลบหลีกการตรวจจับ ก็เปรียบเสมือนการพยายามซ่อนช้างในห้องที่เต็มไปด้วยกระต่าย: แม้ว่าช้างจะมีพลังมาก แต่ขนาดที่ใหญ่โตก็ทำให้ซ่อนตัวได้ยากและตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายกว่า.
นอกจากจุดอ่อนที่มาจากตัวระบบเองแล้ว กัมพูชามีการประจำการเพียง 6 ระบบ ซึ่งเป็นจำนวนที่จำกัดในการดำเนินภารกิจยุทธศาสตร์ในวงกว้าง เมื่อเทียบกับจำนวนระบบที่ผู้ใช้งานรายอื่น เช่น โมร็อกโกมี 36 ระบบ หรือจีนมี 175 ระบบ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
