“เนปาล” น้ำท่วมหนัก ประชาชนเครียด เริ่มทนไม่ไหว ถ้าเลือกได้ขอเจอแผ่นดินไหวดีกว่า

เกือบสิบปีหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2015 ที่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 9,000 ราย เนปาลยังไม่ทันฟื้นตัวดี ก็ต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหม่จากฝนตกหนักที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ ท่วมพื้นที่หลายจังหวัด ทำลายบ้านเรือน ถนน และพื้นที่เกษตรกรรมจำนวนมาก
ในหมู่บ้านปานาอูตี ริมเชิงเขาหิมาลัย ชาวบ้านต้องเผชิญกับภัยพิบัติซ้ำซ้อน หลายคนสูญเสียทุกอย่าง บ้าน พื้นที่การเกษตร ทรัพย์สิน และตอนนี้แม่น้ำก็ไหลผ่านกลางที่ดินของพวกเขา นี่เป็นชะตาชีวิตของชาวบ้านที่เสียบ้านจากแผ่นดินไหวในปี 2015 และต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหลังฝนถล่มปี 2024
ภูมิประเทศของเนปาลที่เต็มไปด้วยภูเขาและหุบเขาทำให้เสี่ยงต่อดินถล่มและน้ำท่วมอยู่แล้ว แต่ในยุคที่ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงเหล่านี้กลับทวีความรุนแรงขึ้น งานวิจัยพบว่าอุณหภูมิในเทือกเขาหิมาลัยเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 0.7°C ส่งผลให้ฝนตกผิดฤดูกาล รุนแรง และต่อเนื่องกว่าที่เคย
การพัฒนาหลังแผ่นดินไหว เช่น การขยายถนน และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบ "ทนภัยพิบัติ" แม้จะมีส่วนช่วยในระดับหนึ่ง แต่เมื่อฤดูมรสุมมาถึงในปี 2024 ระบบเหล่านั้นกลับไม่เพียงพอ
หลังแผ่นดินไหวในปี 2015 ประเทศเนปาลได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศมหาศาล รวมถึงจากจีนและอินเดีย แต่ในปีหลังๆ ความช่วยเหลือเหล่านี้เริ่มลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ตัดงบช่วยเหลือด้านภัยพิบัติ
โครงการMillennium Challenge Corporation (MCC)ซึ่งเคยวางแผนลงทุนกว่า500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 18,750 ล้านบาท)ในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและถนน ถูกยกเลิก ส่งผลให้การซ่อมแซมถนนและโครงสร้างในภูเขาต้องหยุดชะงักกลางคันรวมถึงโครงการ Servir ที่เคยใช้ข้อมูลดาวเทียมเพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงด้านน้ำและภัยพิบัติอื่น ๆ ก็ถูกยกเลิกเช่นกัน ทำให้ความสามารถในการรับมือกับฝนตกหนักลดลงอย่างชัดเจน
หนึ่งในปัญหาหลักที่ซ้ำเติมภัยพิบัติในเนปาล คือการขยายตัวของเมืองอย่างไร้การควบคุม เช่น การสร้างอาคารในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก การใช้ปูนซีเมนต์อย่างเกินพอดี และการรุกพื้นที่ธรรมชาติเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลในกรุงกาฐมาณฑุที่ถูกน้ำท่วมจนต้องอพยพผู้ป่วย เพราะตั้งอยู่บนพื้นที่น้ำท่วมเดิมที่ไม่เคยได้รับการฟื้นฟูหรือห้ามก่อสร้างอย่างจริงจังแม้จะมีการตั้งหน่วยงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติในปี 2017 และมีการซ้อมแผนรับมือระดับท้องถิ่นโดยสภากาชาดเนปาล แต่การขาดงบประมาณและขาดความตื่นตัวจากภาครัฐยังเป็นอุปสรรคสำคัญ
“ถ้าผมต้องเลือก ผมขอเลือกแผ่นดินไหว” นี่เป็นคำกล่าวของบิชนู ฮูมากาอิน สะท้อนความสิ้นหวังของชาวบ้านอย่างชัดเจน เพราะเขามองว่าแผ่นดินไหวอาจสร้างความเสียหายรุนแรงในทันที แต่น้ำท่วมกลับทำลายฐานเศรษฐกิจในระยะยาวทั้งที่ดินทำกิน ระบบน้ำ และความสามารถในการประกอบอาชีพเนื่องจากฝนตกไม่หยุดติดต่อกันหลายวันทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ในช่วงวิกฤต หลายชุมชนต้องเผชิญกับความตายและความหิวโหยอย่างโดดเดี่ยว
กรณีของเนปาลเป็นเครื่องเตือนใจว่า“ภัยพิบัติไม่ใช่เพียงเรื่องของธรรมชาติ แต่เป็นผลจากการจัดการที่ล้มเหลว”ทั้งในด้านการวางผังเมือง การใช้ทรัพยากร การบริหารจัดการ และนโยบายระหว่างประเทศ ดังนั้น จะเห็นว่าความเข้มแข็งของประเทศอาจไม่ได้วัดจากตึกสูง หรือถนนกว้าง แต่บางครั้งก็วัดจากความสามารถของสังคมในการฟื้นตัวและปรับตัวหลังวิกฤต ว่าสามารถรับมือได้มากน้อยขนาดไหนนั่นเอง