รีเซต

ครั้งแรกรอบ 7 ปี สหรัฐฯถูก"ชัตดาวน์" หน่วยงานรัฐบาลหยุดทำงานไม่มีกำหนด

ครั้งแรกรอบ 7 ปี สหรัฐฯถูก"ชัตดาวน์" หน่วยงานรัฐบาลหยุดทำงานไม่มีกำหนด
TNN ช่อง16
1 ตุลาคม 2568 ( 12:28 )
4

ครั้งแรกรอบ 7 ปี หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯถูก "ชัตดาวน์" เหตุงบถูกคว่ำ ขัดแย้ง 2 ขั้ว เดโมแครต-รีพับลิกัน


หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ปิดการดำเนินงาน หรือชัตดาวน์ (Goverment Shutdown) อย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ (1 ตุลาคม 2568 ) ซึ่งจะเป็นการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" เหตุจากการที่ 2 พรรค "เดโมแครต" และ "รีพับลิกัน" ไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณชั่วคราวที่จะช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางหลีกเลี่ยงการถูกชัตดาวน์ 


ก่อนหน้านี้ทางวุฒิสภาสหรัฐฯ ประสบความล้มเหลวในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในการโหวตเมื่อช่วงค่ำวันอังคาร (30 กันยายน 2568) โดยพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาได้ขัดขวางมติการจัดสรรเงินทุนอย่างต่อเนื่อง (continuing resolution) ที่พรรครีพับลิกันนำเสนอเพื่อให้รัฐบาลดำเนินงานต่อไปได้เป็นการชั่วคราว โดยข้อเสนอดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนไม่ถึง 60 เสียง ซึ่งเป็นคะแนนที่จำเป็นสำหรับการผ่านร่างกฎหมาย


ในการเจรจาครั้งล่าสุด ผลประโยชน์ด้านการดูแลสุขภาพเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ขัดแย้งกันระหว่างทั้งสองพรรค พรรคเดโมแครตเรียกร้องให้มีการเพิ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ ซึ่งรวมถึงการขยายเวลาให้เงินอุดหนุนภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act (ACA) ที่จะหมดอายุในปลายปี ตลอดจนการฟื้นฟูคุณสมบัติการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวสำหรับผู้อพยพบางกลุ่มที่อยู่ในสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งรวมถึงผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิง และในทางกลับกัน พรรครีพับลิกันต่อต้านมาตรการเหล่านี้ และได้ผลักดันให้มีการรักษาระดับเงินทุนของรัฐบาลในปัจจุบันไว้เป็นการชั่วคราว เพื่อให้ทั้งสองพรรคมีเวลามากขึ้นสำหรับการเจรจา


จนถึงตอนนี้ "พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต" ต่างก็กล่าวโทษกันไปมาว่าอีกฝ่ายหนึ่งบีบให้รัฐบาลเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อบ่ายวันอังคารว่า พรรคเดโมแครตต้องการให้รัฐบาลถูกชัตดาวน์ โดยอ้างว่าการที่เดโมแครตยืนกรานที่จะให้การดูแลสุขภาพฟรีแก่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร เป็นสาเหตุให้การเจรจาหยุดชะงัก


“พรรคเดโมแครตต้องการการชัตดาวน์ ดังนั้นเมื่อคุณชัตดาวน์ คุณก็ต้องปลดพนักงาน ดังนั้นเราจะทำการปลดพนักงานจำนวนมาก ซึ่งจะสร้างผลกระทบอย่างมาก และพวกที่ถูกปลดจะเป็นพวกเดโมแครต”



ขณะที่ "ชัค ชูเมอร์" ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาได้โพสต์ตอบโต้ข้อความบน X ว่า “นี่คือการชัตดาวน์ของโดนัลด์ ทรัมป์ เขาต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้” โดยเขาได้รีทวีตวิดีโอคำกล่าวของทรัมป์ นอกจากนี้ ชูเมอร์ยังกล่าวด้วยว่าพรรครีพับลิกันกำลังโกหกเกี่ยวกับจุดยืนของพรรคเดโมแครต


“ไม่มีเงินดอลลาร์ของรัฐบาลกลางแม้แต่ดอลลาร์เดียวที่ใช้ในการจัดหาประกันสุขภาพให้กับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร ไม่แม้แต่เพนนีเดียว”  


“พรรครีพับลิกันเลือกที่จะโกหกและชัตดาวน์รัฐบาล มากกว่าที่จะปกป้องการดูแลสุขภาพของคุณ”


ความจริงแล้วงบประมาณที่จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ดำเนินการต่อไปได้นั้น ควรจะมาจากการจัดสรรงบประมาณประจำปี ซึ่งโดยปกติแล้วสมาชิกสภาคองเกรสจากทั้งสองพรรคจะต้องผ่านร่างกฎหมายการจัดสรรงบประมาณประจำปีฉบับใหม่ ก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การต่อสู้ทางการเมืองที่รุนแรงมักจะขัดขวางไม่ให้ทั้งสองพรรคสามารถทำข้อตกลงได้ทันเวลา


ย้อนกลับไปในปีที่แล้ว รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้เผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูก “ชัตดาวน์” หลายครั้ง โดยสภาคองเกรสได้ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณการใช้จ่ายระยะสั้นอย่างเฉียดฉิว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เงินทุนจะหมดลงในเดือนธันวาคม  2567 และเดือนมีนาคม 2568


สำหรับการชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลกลางครั้งหลังสุดและยาวนานที่สุดเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2561 จนถึงต้นปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก โดยในเวลานั้นพรรคเดโมแครตได้ต่อต้านการจัดหาเงินทุนที่ทรัมป์นำเสนอสำหรับการสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับการเข้าเมือง ซึ่งนำไปสู่การชัตดาวน์นาน 35 วันในเวลานั้น ส่งผลให้พนักงานของรัฐบาลกลางประมาณ 800,000 คนถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง หรือลาโดยไม่ได้รับค่าจ้าง


ทั้งนี้หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์  หรือการปิดทำการหน่วยงานรัฐบาล  ส่งผลให้การจัดสรรเงินทุนของรัฐบาลกลางถูกตัดขาดตั้งแต่เที่ยงคืนวันพุธ (1 ตุลาคม 2568)  จะมีเพียงเจ้าหน้าที่ที่ถูกจัดว่าจำเป็น เช่น เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงและบริการเร่งด่วน  ขณะที่เจ้าหน้าที่จำนวนมากจะต้องหยุดงานทันทีโดยไม่ได้รับค่าจ้าง


ผลกระทบที่จะตามมา คือ บริการสาธารณะหลายด้านอาจต้องหยุดชะงักงันหรือได้รับผลกระทบหนักหากสถานการณ์ยืดเยื้อ เช่น โครงการช่วยเหลือด้านอาหาร, โรงเรียนอนุบาลและก่อนวัยเรียนที่ใช้งบรัฐบาลกลาง, การอนุมัติเงินกู้นักเรียน, การตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหาร และการให้บริการของอุทยานแห่งชาติ


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง