สำหรับประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ได้แก่ ความเสี่ยงจากการที่โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง ซึ่งอาจจะไปตอกย้ำผลกระทบด้านลบกับธุรกิจในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว และการบิน
ทั้งยังอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังการจ้างงานและการบริโภคในประเทศด้วย ส่วนอีกประเด็นที่ต้องจับตา คือ ความเสี่ยงด้านการเมืองภายในประเทศ ที่มีการประท้วงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งอาจจะมีผลต่อเสถียรภาพของประเทศ กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม มองว่านโยบายการคลังจะเป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ ทั้งนโยบายที่มุ่งเน้นกระตุ้นการบริโภคในครัวเรือน การท่องเที่ยวในประเทศ การช่วยเหลือเกษตรกร และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐโดยเม็ดเงินจะมาจากงบประมาณคลังประจำปีงบประมาณ 2564 และเม็ดเงินภายใต้ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่อนุมัติไปเมื่อช่วงเดือน เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา
ในส่วนของนโยบายการเงิน มองว่า หากโควิด-19 แพร่ระบาดในวงกว้าง คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. อาจจะจัดประชุมนัดพิเศษเพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกสู่ระดับ 0.25% จากที่การประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 63 และมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ขณะที่ค่าเงินบาทปีนี้ มองกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 30.00-31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ดร.มิ่งขวัญ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 4-6% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 5.4% จากที่ปี 2563 คาดว่าจะหดตัว -4.4% นับเป็นอัตราการขยายตัวที่ทำให้เศรษฐกิจโลกปีนี้กลับไปอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2562 โดยมีแรงสนับสนุนสำคัญมาจากเศรษฐกิจของประเทศจีนเป็นหลัก ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแต่ละประเทศในโลกมีอัตราแตกต่างกันไปตามโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับตัวของธุรกิจ และนโยบายจากภาครัฐและธนาคารกลางของแต่ละประเทศที่ออกมา