รีเซต

โควิด-นโยบายสหรัฐฯ ชี้ชะตาตลาดหุ้นไทยปีฉลู

โควิด-นโยบายสหรัฐฯ ชี้ชะตาตลาดหุ้นไทยปีฉลู
TNN ช่อง16
6 มกราคม 2564 ( 11:02 )
102

ปีหนูที่ผ่านมาถือเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความบอบช้ำของตลาดหุ้นไทย ที่โดนพิษโควิดถล่มโลกทุบจนดัชนีดิ่งหนัก จนถึงขึ้นต้องใช้มาตรการหยุดการซื้อขายหุ้นชั่วคราว(เซอร์กิตเบรกเกอร์) ถึง 3 ครั้ง ก่อนที่ดัชนีไปทำจุดต่ำสุดของปีไว้ที่ 969 จุด ก่อนที่จะทยอยฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่บาดแผลต่างๆ ก็ยังทิ้งร่องรอยและหลอนนักลงทุนให้หวาดผวากับการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่เป็นระยะ

ส่วนตลาดหุ้นไทยในปีฉลู จะสามารถฟื้นกลับมาคึกคักตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หรือจะยังต้องเผชิญวิบากกรรมต่อเนื่องไปอีกปีหรือไม่นั้น " TNNONLINE" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กูรูด้านตลาดทุน เพื่อวาดภาพของตลาดหุ้นไทยในปี 64 ไว้ดังนี้   

เริ่มจาก "นายเทิดศักดิ์  ทวีธีระธรรม  รองกรรมการผู้จัดการ  บล.เอเชียพลัส" มองว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้นมาที่ 7.16 แสนล้านบาท จากปี 63 ที่ 5.18 แสนล้านบาท จากการพัฒนาวัคซีนควบคุมโรคโควิด แต่ในทางกลับกันหากเอาไม่อยู่การแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเป็นความเสียงต่อตลาดหุ้นไทยและหุ้นโลก โดยปีนี้คาดว่าดัชนีอยู่ที่ 1,550 จุดบน EPS 65 บาทต่อหุ้น PE 25.8 เท่า ส่วนปัจจัยเสี่ยงปีฉลูนอกจากจะเป็นโควิดแล้ว สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนก็อาจต้องนำมากลับมาดูกันอีกครั้ง

จากสถิติข้อมูลพบว่าในช่วงปี59 ถึงปัจจุบันพบว่าเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ต่างชาติเทขายมากถึง  540,000 ล้านบาท ซึ่งปี 61 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมากที่สุด 8,913 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงิน 287,000ล้านบาท  รองจากไต้หวันวงเงิน 12,182 ล้านดอลลาร์สหรัฐ   ขณะที่เกาหลีใต้ขายสุทธิ 5,676 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  อินโดนีเซีย 3,656  ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟิลิปปินส์ 1,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  รวม 5 ประเทศขายสุทธิวงเงิน 31,507 ล้านดอลลาร์สหรัฐ   ส่วนในปี 63  (ม.ค.-21 ธ.ค.) พบว่าในกลุ่ม TIP ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 263,000 ล้านบาทรองลงมาคือมาเลเซีย   และ ฟิลิปปินส์  ซึ่งปีนี้คาดว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะเริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดเอเชียรวมถึงไทยมากขึ้น โดยมีปัจจัยมาจาก GDP ปี 64 ที่ปรับตัวขึ้นเติบโต 4.1% กำไรบจ.จะกลับมาขยายตัว 38%

สำหรับธีมการลงทุนในปี 64 ให้เน้นในหุ้น 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ อย่างหุ้น KBANK และ BBL ถัดมาเป็นไอซีที เป็นหุ้น ADVANC ,และ INTUCH และวัสดุก่อสร้าง เป็นหุ้น SCC  


ด้าน "นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) " คาดว่า ในไตรมาส 1/64 มีโอกาสลุ้นที่ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,600 จุด หลังการทดลองวัคซีนเริ่มกระจายมากขึ้น ประกอบกับฐานและกำไรบจ.ต่ำ และจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่ผ่านมาจะเห็นว่าจีดีพีติดลบน้อยลงจากไตรมาส 2/63 ติดลบ 12% ไตรมาส 3/63 ติดลบ 6% ไตรมาส 4/63 ติดลบ 4% ดังนั้นแนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัว  แต่ไตรมาส 2/64 ต้องติดตามนโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ว่ามีความเข้มข้น เหมือนกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ มากน้อยแค่ไหน และเชื่อว่าในไตรมาส 3/64 ตลาดหุ้นจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่วน EPS หรือกำไรต่อหุ้นนั้น ปีหน้าคาดว่าจะกลับมาอยู่ที่ 84 บาท จากปีนี้ลดฮวบลงมาที่ 55 บาท

โดยธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะฟื้นตัวได้ และคาดว่ากำไรจะปรับตัวดีขึ้น เช่น PTTGC และ IVL หลังจากปีนี้ที่ลดลงจากผลกระทบโควิดหรือเทรนด์ที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจในประเทศดีกว่านอกประเทศ รวมถึงหุ้นในกลุ่มแบงก์ เช่น KBANK,TMB หรือกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น SAWARD ,SINGER


ปิดท้ายที่ "นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) " มองเป้าหมาย SET กรณีปกติ 1,540 จุด โดยคาดว่าจะยังปรับขึ้นได้ต่อ จากกระแสเงินไหลเข้าในตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทย และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตามมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนของภาครัฐ โดยมีปัจจัยบวกมาจาก ราคาน้ำมันฟื้นเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน  การท่องเที่ยวฟื้นตัวจากวัคซีนและการส่งออกฟื้นตัวจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ด้านปัจจัยลบที่ต้องติดตามยังเป็นเรื่องการเมืองในประเทศ และการทยอยปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยกลยุทธ์การลงทุนปีหน้าเน้นหุ้น  laggard คือ KBANK, MINT, CPALL, WHA, ADVANC

จากการประสานเสียงของโบรกเกอร์ คงพอจะเห็นภาพลางๆ ได้ว่า หุ้นไทยปีหน้าคงจะเป็นปีแห่งความฟื้นตัว  แต่เป็นการฟื้นตัวที่จำกัด และยังมีความปัจจัยเสี่ยงที่ต้องรอติดตามอยู่อีกมาก โดยเฉพาะปัจจัยโควิด และนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ภายใต้ประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยใหญ่และส่งผลได้ทั้งทางบวกและลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง