สัญญาณเตือน “ไทย” เสี่ยงรั้งท้ายอาเซียน

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับล่าสุดเดือนตุลาคม โดยปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของ GDP โลกในปี 2568 จะอยู่ที่ร้อยละ 3.2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.0 ซึ่งคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ยังคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ในปี 2569 จะอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดไว้เดิม ปัจจัยหลัก ๆ มาจากสงครามภาษียังไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงนัก เนื่องจากภาคเอกชนเร่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานก่อนหน้ามาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ประกอบกับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ กับสหรัฐฯ ที่ช่วยลดทอนผลกระทบลง รวมถึงการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรปและจีน และการลงทุนต่อเนื่องด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจ
แนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยการเติบโตของ GDP ปี 2568 น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.0 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 1.9 ที่คาดการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคม ส่วนในปี 2569 มีแนวโน้มที่ GDP จะโตร้อยละ 2.1 อานิสงส์จากอัตราภาษีตอบโต้ที่ไม่สูงเท่าที่คาดไว้ในช่วงแรก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากร่างกฎหมายภาษีของพรรครีพับลิกัน มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน และการลงทุนด้าน AI ที่หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สำหรับเศรษฐกิจในยูโรโซนในปีนี้ก็มีแนวโน้มขยับขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 1.2 จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 1.0 เนื่องจากเศรษฐกิจเยอรมนีที่กระเตื้องขึ้นและเศรษฐกิจสเปนที่ยังขยายตัว ขณะที่การเติบโตของจีนคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.8 ในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นแม้จะไม่ยั่งยืน และ GDP ในปี 2569 น่าจะแตะที่ร้อยละ 4.2 ซึ่งแนวโน้มยังน่าเป็นห่วง โดยภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง
IMF ระบุด้วยว่า เขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.6 ทั้งในปีนี้และปีหน้า ส่วนตลาดเกิดใหม่และเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนาจะขยายตัวร้อยละ 4.2 ในปีนี้ และร้อยละ 4.0 ในปีหน้า และเมื่อแยกย่อยออกมารายภูมิภาค ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย มีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 5.2 ในปีนี้ และร้อยละ 4.7 ในปีหน้า ส่วนลาตินอเมริกา-แคริบเบียน มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.4 ในปีนี้ และร้อยละ 2.3 ในปีหน้า ด้านตะวันออกกลาง-เอเชียกลาง ในปีนี้จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ก่อนขยับเป็นร้อยละ 3.8 ในปีหน้า และภูมิภาคแอฟริกาซับซาฮารา น่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.1 ในปีนี้ และร้อยละ 4.4 ในปีหน้า
สำหรับอัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ในปี 2568 และร้อยละ 3.7 ในปี 2569 ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยเงินเฟ้อในสหรัฐฯ น่าจะพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ที่ชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้าในช่วงแรกจะเริ่มผลักภาระภาษีไปยังผู้บริโภค
รายงานระบุด้วยว่า แนวโน้มการค้าโลกจะลดลงเล็กน้อยในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวในปี 2568 แต่จะชะลอตัวในปี 2569 ซึ่งสะท้อนถึงการเร่งทำการค้าล่วงหน้า (front-loading) ก่อนมาตรการกำแพงภาษีมีผล ในปี 2568-2569 ปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.9 แต่ถึงจะได้แรงกระตุ้นจากการเร่งทำการค้าล่วงหน้า ก็ยังโตน้อยกว่าในปี 2567 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.3
ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าและบริการทั้งโลกมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 25 ของ GDP โลก ขณะที่การส่งออกของสหภาพยุโรป (EU) มีสัดส่วนเกือบร้อยละ 50 ของ GDP โลก ส่วนญี่ปุ่นมีสัดส่วนร้อยละ 20 ของ GDP โลก ใกล้เคียงกับจีนและอินเดียที่มีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นเกือบร้อยละ 20 ของ GDP ทั้งโลก ด้านการส่งออกของสหรัฐฯ มีสัดส่วนราวร้อยละ 10 ของ GDP โลก แต่สงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ร้อนระอุขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขู่จะเก็บภาษีจีนอีกร้อยละ 100 เพิ่มจากปัจจุบันที่อัตราร้อยละ 30 เพื่อตอบโต้การที่จีนออกมาตรการคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก จะเป็นความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจโลกนับจากนี้
เมื่อพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 4.1 ในปี 2569 จากร้อยละ 4.5 ในปีนี้ เศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่อย่าง “จีน” น่าจะชะลอตัวลงจากร้อยละ 4.8 ในปีนี้ แตะที่ร้อยละ 4.2 ในปีหน้า ส่วนการเติบโตของ GDP ญี่ปุ่นจะชะลอตัวลงจากร้อยละ 1.1 ในปีนี้ เหลือร้อยละ 0.6 ในปีหน้า สำหรับอินเดียน่าจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 6.6 ในปีนี้ นับเป็นอัตราสูงที่สุดในบรรดาเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดใหญ่ แต่จะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 6.2 ในปีหน้า ด้านการเติบโตของ GDP เกาหลีใต้จะเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 0.9 ในปีนี้ สู่ร้อยละ 1.8 ในปีหน้า
นอกจากเอเชียจะเป็นศูนย์กลางของการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าโลก เอเชียยังช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยมีสัดส่วนราวร้อยละ 60 ของการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกทั้งในปีนี้และปีหน้า ผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าได้รับการชดเชยจากการส่งออกล่วงหน้าก่อนกำแพงภาษีมีผลบังคับใช้ รวมถึงการลงทุนด้าน AI ในภูมิภาคที่แข็งแกร่ง การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนทางการคลังในบางประเทศ โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเวียดนาม
แต่เอเชียก็ยังเผชิญความเสี่ยงหลายประการ รวมถึงแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรอีกครั้ง ข้อจำกัดเกี่ยวกับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (rules-of-origin) ที่มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นทางผ่านของสินค้า (transshipment) การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น
ข้อมูลจาก IMF ยังส่งสัญญาณเตือนถึง “ไทย” ด้วย เพราะเมื่อเปรียบเทียบจากขนาดเศรษฐกิจกับเพื่อนบ้านอาเซียนในปี 2573 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ไทยจะหล่นจากอันดับ 3 ในปัจจุบัน ไปอยู่ในอันดับ 5 ของกลุ่ม โดยในปี 2568 ขนาดเศรษฐกิจของไทย มีมูลค่าราว 5.58 แสนล้านดอลลาร์ เป็นรองเพียง “อินโดนีเซีย” ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดที่ 1.44 ล้านล้านดอลลาร์ และ “สิงคโปร์” ที่ขนาดเศรษฐกิจมีมูลค่า 5.74 แสนล้านดอลลาร์
ขณะที่ในปี 2573 ขนาดเศรษฐกิจของไทยจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 6.54 แสนล้านดอลลาร์ อยู่ในอันดับ 5 ของกลุ่มอาเซียน ตามหลัง “อินโดนีเซีย” ที่ขนาดเศรษฐกิจจะเพิ่มเป็น 2.08 ล้านล้านดอลลาร์ ต่อด้วยอันดับ 2 “ฟิลิปปินส์” มีขนาดเศรษฐกิจ 7.46 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ “สิงคโปร์” มีขนาดเศรษฐกิจ 7.21 แสนล้านดอลลาร์ และ “เวียดนาม” ขยับแซงมาอยู่ในอันดับ 4 มีขนาดเศรษฐกิจ 6.66 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบในแง่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียน ไทยก็มีแนวโน้มเติบโตไม่สูงนัก โดย IMF คาดการณ์การขยายตัวของ GDP ไทยในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 2.0 เท่ากับที่ประเมินไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งลดลงจากในปี 2567 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.5 และคาดการณ์การขยายตัวในปี 2569 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.6
สำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียนอื่น ๆ รายงานล่าสุดของ IMF ระบุว่า ในปีนี้ เวียดนามจะมีอัตราการขยายตัวของ GDP อยู่ที่ร้อยละ 6.5 ตามด้วยฟิลิปปินส์ที่ร้อยละ 5.4, อินโดนีเซีย ร้อยละ 4.9, กัมพูชา ร้อยละ 4.8, มาเลเซีย ร้อยละ 4.5, สปป.ลาว ร้อยละ 3.5, สิงคโปร์ ร้อยละ 2.2, บรูไน ร้อยละ 1.8 และเมียนมา เป็นประเทศเดียวที่หดตัวร้อยละ 2.7
เมื่อเปรียบเทียบการเติบโตของ GDP ในปี 2569 ฟิลิปปินส์ขยายตัวที่ร้อยละ 5.7, ตามด้วยเวียดนามโตร้อยละ 5.6, อินโดนีเซีย ร้อยละ 4.9, มาเลเซียและกัมพูชา ร้อยละ 4.0 เท่ากัน, เมียนมา ร้อยละ 3.0, สปป.ลาว ร้อยละ 2.5, บรูไน ร้อยละ 2.4 และสิงคโปร์ ร้อยละ 1.8
รายงาน IMF เสนอแนะว่า ภารกิจที่ประเทศต่าง ๆ ต้องทำต่อจากนี้ คือ การพลิกฟื้นความเชื่อมั่นผ่านนโยบายที่น่าเชื่อถือ คาดการณ์ได้ และยั่งยืน โดยนโยบายการค้าควรชัดเจน โปร่งใส และอิงตามกฎเกณฑ์ เพื่อลดความไม่แน่นอน สนับสนุนการลงทุน และเกิดประโยชน์ รวมถึงควรปรับปรุงกฎระเบียบการค้าให้ทันสมัยรองรับยุคดิจิทัล และเปิดโอกาสสำหรับความร่วมมือพหุภาคีที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ท่ามกลางภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
