โควิด-19 : เปิดแผนรัฐบาลสิงคโปร์ เรียนรู้อยู่กับไวรัส ให้ชีวิตปกติสุขในระยะยาว
นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ของสิงคโปร์ ประกาศผ่านข้อความทางเฟซบุ๊กเมื่อ 24 มิ.ย. ว่าคณะทำงานร่วมต่างกระทรวงของรัฐบาล ตั้งเป้าหมายจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบ 2 เข็ม ให้แก่ประชากรจำนวน 2 ใน 3 ของประเทศ ก่อนวันชาติ 9 สิงหาคม นี้
ผู้นำสิงคโปร์ย้ำว่า การฉีดวัคซีนคือกลยุทธ์สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดอยู่ในประเทศได้
"เราไม่อาจขจัดไวรัสโควิดให้หมดไป แต่สามารถบริหารจัดการมัน ให้เหมือนที่เราทำกับไข้หวัดธรรมดาได้" นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์กล่าว
นายลีเชิญชวนพลเมืองสิงคโปร์ให้ออกมาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด เนื่องจากยิ่งมีผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคได้เร็วขึ้น และเปิดเสรีในด้านต่าง ๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น "ตอนนี้เราสามารถจัดหาวัคซีนมาสำรองไว้เพิ่มเติมได้แล้ว และกำลังเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนในอัตราที่รวดเร็วกว่าเดิมมาก"
นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ยังเผยถึงแผนการระยะยาวหรือโรดแมป ซึ่งจะนำสังคมไปสู่อนาคตที่ผู้คนสามารถเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 อย่างปลอดภัยและเป็นปกติสุขได้ โดยแผนการนี้เผยต่อสาธารณชนในรูปของบทความ ที่รัฐมนตรี 3 คนในคณะทำงานร่วมระหว่างกระทรวงของสิงคโปร์ ร่วมกันเขียนลงเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์เดอะสเตรตส์ไทมส์ (The Straits Times) ฉบับวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขร่วมกับโควิด-19 ได้อย่างไร
บทความดังกล่าวมีชื่อว่า "ชีวิตปกติสุขกับโควิด-19: เหล่ารัฐมนตรีหัวหน้าคณะทำงานร่วมฯ เผยถึงการร่างแผนโรดแมปเพื่อชีวิตในความปกติใหม่"
บทความแสดงความคิดเห็นนี้ เขียนโดยนายกัน คิม หย่ง รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม, นายลอว์เรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายอ่อง อี๋ คัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยมีใจความสำคัญที่ชี้ว่า การเร่งฉีดวัคซีนในวงกว้าง, การใช้วิธีตรวจหาเชื้อที่ง่ายขึ้น, การปรับปรุงประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วย, และการส่งเสริมให้พลเมืองคงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเหนียวแน่น จะช่วยให้การตอบสนองต่อกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิดในอนาคต แตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างมาก ซึ่งขณะนี้คณะทำงานร่วมระหว่างกระทรวงต่าง ๆ กำลังร่างโรดแมปที่จะทำให้สิงคโปร์เปลี่ยนผ่านไปสู่ "ความเป็นปกติใหม่" (new normal) อย่างแข็งขัน
รัฐมนตรีทั้งสามยอมรับในบทความนี้ว่า แม้บัดนี้จะเป็นเวลาถึง 18 เดือนแล้ว นับแต่การระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ได้อุบัติขึ้น แต่ทางการก็ยังไม่สามารถทำให้อัตราการแพร่เชื้อลดลงจนเป็นศูนย์ได้ และอาจไม่มีวันทำเช่นนั้นได้จริง เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงว่าไวรัสโควิดจะมีวิวัฒนาการโดยกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จนพวกมันอยู่รอดในพื้นที่การระบาดได้อย่างถาวรและกลายเป็นเชื้อประจำถิ่นไปในที่สุด
สภาพการณ์ที่คาดไว้ดังกล่าว หมายถึงการที่โรคโควิด-19 จะไม่มีวันหมดสิ้นไปจากชุมชนนั้น แต่ข่าวดีคือมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้คนสามารถจะอยู่ร่วมกับมันอย่างปลอดภัย และใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนกับช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในทุกปี
บทความชี้ว่าแม้จะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จำนวนมาก แต่ผู้ที่ป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคระบาดชนิดนี้กลับมีน้อย จนการระบาดไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ ซึ่งทุกคนเพียงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างง่าย ๆ เช่นการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เท่านั้น
รัฐมนตรีทั้งสามคนให้คำมั่นว่า จะพลิกสถานการณ์โรคโควิดจากภาวะการระบาดใหญ่ที่ร้ายแรง มาเป็นการระบาดตามฤดูกาลที่เสี่ยงอันตรายต่ำ เช่นเดียวกับที่พบในไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่าง ๆ รวมทั้งโรคมือเท้าปากเปื่อย หรือโรคอีสุกอีใส
วัคซีนคือกุญแจสำคัญ
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและแพร่เชื้อโควิดลงได้อย่างมาก ทั้งยังลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตในกลุ่มผู้ติดเชื้ออีกด้วย
บทความนี้ได้ยกกรณีศึกษาอันโดดเด่นของอิสราเอลมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งอิสราเอลนั้นสามารถฉีดวัคซีนครบโดสให้กับประชากรของตัวเองไปแล้วกว่า 60% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของโลก ทำให้อัตราการติดเชื้อในหมู่ผู้ที่รับวัคซีนแล้ว ต่ำกว่าผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันถึง 30 เท่า และมีสัดส่วนของผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ต่ำกว่ากลุ่มผู้ยังไม่ฉีดวัคซีนถึง 10 เท่า
นอกจากนี้ บทความยังได้อ้างถึงสถิติผู้รับวัคซีนครบโดสชาวอิสราเอลที่ป่วยหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลว่า มีอยู่น้อยเพียง 0.3 ในจำนวนทั้งหมด 100,000 คน และอัตราการเสียชีวิตของคนกลุ่มนี้ก็ต่ำมากเพียง 0.1 ต่อ 100,000 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นสถิติที่ใกล้เคียงกับกรณีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2018-2019 อันเป็นเครื่องยืนยันว่าวัคซีนจะช่วยลดระดับการระบาดใหญ่ของโควิด ให้กลายเป็นการระบาดตามฤดูกาลที่ปลอดภัยกว่าได้
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สิงคโปร์คงความสามารถระดับสูงในการป้องกันโรคโควิดได้อย่างยั่งยืน อาจต้องมีการฉีดวัคซีนเสริมเข็มที่สามหรือมากกว่านั้น เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกครั้งด้วย โดยรัฐบาลมีแผนจะดำเนินโครงการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุมเป็นเวลาต่อเนื่องไปอีกหลายปี
เทคนิคการตรวจหาเชื้อที่ง่ายและเร็วขึ้น
แม้จะมีการฉีดวัคซีนในวงกว้างแล้ว แต่การสำรวจสถาพการณ์ในภาพรวมด้วยวิธีตรวจหาเชื้อโควิดก็ยังมีความจำเป็นอยู่ โดยบทความระบุว่า จากนี้ไปการตรวจหาเชื้อของสิงคโปร์จะมุ่งไปที่ตามแนวพรมแดนเป็นหลัก เพื่อป้องกันการเข้ามาของพาหะเชื้อกลายพันธุ์ที่หลายคนกังวลกันอยู่
ส่วนการตรวจหาเชื้อในประเทศนั้น จะไม่มุ่งเน้นการตรวจสอบเพื่อกักกันตัวผู้ติดเชื้อและผู้ต้องสงสัยเช่นเคย แต่จะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อให้แน่ใจว่า สามารถจัดงานสังคมต่าง ๆ ได้และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ
เนื้อหาของบทความยังชี้ว่า สิงคโปร์ไม่อาจพึ่งพาแต่การตรวจหาเชื้อโควิดแบบ PCR ที่ทำให้ผู้รับการตรวจไม่สบายตัวและต้องรอผลนานหลายชั่วโมง แต่จำเป็นจะต้องใช้วิธีตรวจหาเชื้อที่ทำได้ง่ายและรู้ผลเร็วขึ้นหลาย ๆ วิธี
ในตอนนี้รัฐบาลสิงคโปร์ได้แจกจ่ายชุดตรวจหาแอนติเจนแบบเร็ว (antigen rapid test) รวมทั้งชุดตรวจหาเชื้อด้วยตนเองที่บ้าน ออกไปตามสถานพยาบาล คลินิกเอกชน ร้านขายยา และกลุ่มพนักงานของบริษัทต่าง ๆ แล้ว และกำลังจะจัดหาอุปกรณ์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเพิ่มเติม เช่นชุดตรวจหาเชื้อจากลมหายใจ (breathalyzer) ซึ่งใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีก็สามารถจะรู้ผลได้ รวมทั้งชุดตรวจหาเชื้อในน้ำเสียจากอาคารบ้านเรือน ซึ่งสามารถบอกได้ว่ามีคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อซ่อนอยู่ในหอพัก โรงแรม รวมทั้งอาคารชุดต่าง ๆ หรือไม่
ค้นหาวิธีรักษาที่ได้ผลดีกว่าเดิม
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังคงค้นหาวิธีรักษาโรคโควิด-19 ที่ดีที่สุดกันอย่างขะมักเขม้น บทความระบุว่าสิงคโปร์ได้ให้การรักษาผู้ป่วยโควิดของตนเองด้วยทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์มีอัตราการตายของผู้ป่วยโควิดต่ำที่สุดประเทศหนึ่งของโลก
ส่วนหนึ่งของบทความยังกล่าวว่า "ในขณะนี้เรามียาที่ทรงประสิทธิภาพ ซึ่งใช้ในการรักษาโรคโควิดกับกลุ่มผู้ป่วยหนักขั้นวิกฤตได้ผลอยู่หลายสูตร ซึ่งยาและการรักษาเหล่านี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดอาการป่วยลุกลามจนทรุดหนักและเสียชีวิตได้เป็นอย่างดี"
"กระทรวงสาธารณสุขติดตามข่าวสารการพัฒนายาและวิธีรักษาใหม่ ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าสิงคโปร์จะมียาสำหรับรักษาโควิดเพียงพอ โดยนักวิทยาศาสตร์ของเรายังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการคิดค้นและพัฒนายาเหล่านี้อีกด้วย"
ความรับผิดชอบต่อสังคมยังคงสำคัญอย่างยิ่ง
ในท้ายที่สุดแล้ว ชาวสิงคโปร์จะสามารถอยู่กับโควิดและใช้ชีวิตตามวิถีความเป็นปกติใหม่ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการทำใจยอมรับในเรื่องที่ว่า โควิดจะต้องกลายเป็นโรคประจำถิ่น ทั้งเรื่องนี้ยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมรวมหมู่ของชาวสิงคโปร์อีกด้วย
"ถ้าเราทุกคนรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลได้ดี เราก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อน้อยลง หากเรารู้จักเกรงใจกัน หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่แออัดพลุกพล่านเมื่อรู้สึกไม่สบาย จะช่วยลดการแพร่เชื้อลงได้ หากเรายอมแบกภาระร่วมกัน เมื่อป่วยก็หยุดงานอยู่บ้านเพื่อให้เพื่อนในที่ทำงานปลอดภัย นายจ้างก็ไม่กล่าวโทษลูกน้องในกรณีเช่นนี้ สังคมของเราก็จะปลอดภัยขึ้น"
สู่ชีวิตในวิถีความเป็นปกติใหม่
ด้วยมาตรการทั้ง 4 ข้อที่บทความกล่าวมาข้างต้น การตอบสนองและรับมือเวลาที่พบผู้ติดเชื้อโควิดในอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บรรทัดฐานในการดำรงชีวิตแบบใหม่อาจเป็นดังนี้
- ผู้ติดเชื้อจะรักษาตัวและพักฟื้นที่บ้านจนหายดี เพราะเมื่อได้รับวัคซีนแล้ว ความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตมีน้อยมาก โอกาสที่คนใกล้ชิดรอบข้างจะติดเชื้อก็ต่ำ จึงไม่ต้องกังวลว่าโรงพยาบาลจะมีคนไข้ล้น จนไม่อาจให้การรักษาได้ทั่วถึงอีกต่อไป
- ทางการไม่จำเป็นจะต้องติดตามการสัมผัสเชื้อหรือเส้นทางการติดต่อของโรคในวงกว้าง รวมทั้งไม่จำเป็นต้องกักตัวผู้ติดเชื้อที่พบในทุกครั้ง เนื่องจากประชาชนสามารถทดสอบการติดเชื้อได้ด้วยตนเอง ด้วยชุดเครื่องมือที่ใช้ง่ายและรู้ผลได้รวดเร็ว หากพบว่าผลเป็นบวก สามารถทดสอบซ้ำอีกครั้งกับชุดตรวจ PCR และแยกกักตนเองในขั้นต่อไปได้
- แทนที่จะเฝ้าจับตาจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในทุกวัน รัฐบาลสิงคโปร์จะมุ่งให้ความสำคัญกับผลการรับมือและดำเนินการป้องกันโรคที่ออกมา ซึ่งก็คือจำนวนผู้ป่วยหนักในไอซียู รวมทั้งผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและสอดท่อให้ออกซิเจน อันเป็นสิ่งเดียวกับที่วงการสาธารณสุขทำกันอยู่ เมื่อจับตาดูการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่
- สิงคโปร์จะสามารถเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการบริหารความปลอดภัยต่าง ๆ สามารถกลับมาจัดงานชุมนุมและงานสังคมครั้งใหญ่ เช่นงานเฉลิมฉลองวันชาติและงานนับถอยหลังขึ้นปีใหม่ได้เช่นเดิม แน่นอนว่าการดำเนินธุรกิจก็จะไม่ถูกขัดขวางด้วยมาตรการป้องกันโรคอีกต่อไป
- ชาวสิงคโปร์จะสามารถเดินทางกันได้อีกครั้ง อย่างน้อยก็อาจไปยังประเทศที่สามารถควบคุมการติดเชื้อและเปลี่ยนโควิดให้เป็นโรคประจำถิ่นได้สำเร็จเช่นเดียวกัน โดยจะมีการรับรองใบยืนยันการฉีดวัคซีนของทั้งสองฝ่าย ผู้ที่จะเดินทางสามารถรับการตรวจหาเชื้อได้ก่อนออกเดินทาง และได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักตัว หากผลตรวจขณะถึงปลายทางเป็นลบ
บทความนี้กล่าวสรุปด้วยการเรียกร้องให้พลเมืองสิงคโปร์ระมัดระวังและ "ตั้งการ์ดสูง" ต่อไปในขณะนี้ ก่อนที่จะสามารถผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ตามโรดแมปที่ร่างอยู่ได้ในเวลาอีกไม่ช้า แต่อย่างไรก็ตาม หนทางข้างหน้าก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอีกมาก